Custom Search By Google

Custom Search

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สอนลูกอย่างไร? ไม่ให้ตาบอดเพราะ "ความรัก"

สอนลูกอย่างไร? ไม่ให้ตาบอดเพราะ "ความรัก"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2552 10:04 น.




ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


เด็กปัจจุบันโตเร็วขึ้น เพราะอาหารการกินเราดีขึ้น และพบว่า "แสง สี เสียง" ที่อยู่รอบๆตัวเรามีผลกระตุ้นระบบประสาทให้มีพัฒนาที่เร็วขึ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พบว่าเด็กผู้หญิงมักมีประจำเดือนครั้งแรกเร็วขึ้น เด็กประถมปลายบางคน ก็มีฮอร์โมนเพศทำงานแล้ว ทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาว และมองเพศตรงข้ามด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม

ด้านของฮอร์โมนเพศ ถือเป็นอิทธิพลสำคัญตัวหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ชายเริ่มเกิดการตื่นตัวทางเพศ เห็นเพศหญิงแล้วกระตุ้นให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ ส่วนผู้หญิงก็จะเริ่มสนใจดารา นักร้อง นักกีฬา รุ่นพี่หรือครูหนุ่มๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และคงไม่น่าแปลกที่เด็กประถมปลาย โดยเฉพาะเด็กป.6 ที่กำลังขึ้นม.1 เริ่มที่จะมีความรักนอกเหนือจากความรักของพ่อแม่

วันนี้ทีมงาน Life and Family ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล" หัวหน้าหน่วยจิตเวช รพ.พญาไท 2 ถึงเรื่องการทำความเข้าใจกับความรักของลูก ซึ่งคุณหมอได้ให้คำแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ในเรื่องนี้ว่า :


- ถ้าสังเกตว่าลูกเริ่มคบหากับเพื่อนสาว หรือเพื่อนชาย บอกลูกว่าพ่อแม่ไม่ห้ามเรื่องมีความรักในวัยเรียน หากมีแฟนแล้วทำให้ผลการเรียนดีขึ้น ขอให้ช่วยกันเรียน แต่ไม่ยอมรับหากการมีแฟนทำให้ผลการเรียนตกต่ำลง

- อย่าต่อต้านการที่ลูกจะสนใจดารา นักร้อง รวมทั้งการมีแฟน...แต่ให้ลูกเล่าเรื่องแฟนและความรู้สึกของเขาใน เรื่องนี้ (เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยให้เก็บไว้ในใจก่อน)

- ควรสอนลูกสาวว่า "ลูกสาวคือผู้หญิงที่พ่อแม่รักมากที่สุดในโลก...เพราะฉะนั้นพ่อแม่จึงอยากให้ลูกสาวรักษาเนื้อ รักษาตัว เพราะถ้าลูกสาวเป็นอะไรไป พ่อแม่หัวใจแตกสลาย"

- ควรสอนลูกชายว่า "ลูกชายคือเด็กหนุ่มที่พ่อแม่ภาคภูมิใจ...เพราะฉะนั้นพ่อแม่อยากให้ลูกชายตั้งใจเรียน เพื่อในอนาคตจะได้รับผิดชอบตัวเองและรับผิดชอบคนอื่นที่มาร่วมชีวิตกับเราได้ รักคุณแม่และพี่สาวอย่างไร ลูกชายต้องให้เกียรติเพศตรงข้ามเช่นเดียวกัน"

- เมื่อลูกโตขึ้น ความรักของลูกก็จะโตตามไปด้วย พ่อแม่ต้องเป็นฝ่าย "ฟัง" ลูก คือฟังว่าลูกของเราคิดเห็นอย่างไร ที่สำคัญคือ "ห้ามเถียง" อย่าเพิ่งเอาทัศนะส่วนตัวไปตัดสินว่าลูกผิด เพราะถ้ารีบขัดแย้งในทันทีที่ลูกพูด วันหลังเขาจะไม่เล่าเรื่องใดๆให้เราฟัง แล้วพ่อแม่จะกลายเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความลับของลูก ในวันหลังค่อยแสดงความคิดเห็นของเราว่าลูกคิดอย่างนี้ ส่วนพ่อแม่คิดอย่างนี้

- ถ้าพ่อแม่บอกให้เลิกกับแฟน ก็ไม่มีผลทำให้เขาเลิก...สิ่งที่ลูกจะเลิกคือเลิกพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเวลาเขามีปัญหาเรื่องแฟน เขาก็จะปรึกษาเพื่อน ไม่กล้าบอกพ่อแม่ เพราะประเมินแล้วว่าโอกาสถูกตำหนิมีมากกว่าได้คำตอบ

- เรื่องเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน พ่อแม่ก็สอนให้ลูกรู้จักการป้องกัน ด้วยการไม่อยู่กันสองต่อสองในที่ลับหูลับตา รู้จักการปฏิเสธ เช่น "การที่ฉันไม่ยอมมีอะไรกับเธอ ไม่ได้แปลว่าฉันไม่รัก...แต่เป็นเพราะฉันเห็นว่ามันยังไม่ถึงเวลา" "ถ้าเธอรักฉันจริง เธอต้องรอฉันได้...เธอเป็นผู้ชายที่ฉันรัก แต่ฉันพร้อมก็ต่อเมื่อเราแต่งงานแล้วเท่านั้น"

คุณหมอบอกยังต่อว่า ไม่เฉพะแต่เพียงพ่อแม่เท่านั้นที่ต้องเข้าใจลูก แต่ลูกๆ ควรต้องรู้ตัวเองด้วยว่าความรักมี 2 อย่าง คือ "เมตตา" (Passion) และ "เมตตา" (Compassion)

"ความรักกับเพื่อนๆ (เพศเดียวกันหรือต่างเพศ) ควรเป็นแบบเมตตา คือ เห็นใจ ช่วยเหลือ เอื้ออาทรต่อกัน แต่หากเราเกิดความเสน่หากับใคร (สังเกตได้จากความรู้สึก "คิดถึง" และ "หึงหวง") ก็เป็นความรู้สึกธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะต้องรักตอบ...เวลาลูกมีความผิดหวังหรืออกหัก พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนคอยรับฟังที่ดี"

"อะไรก็ตามที่พ่อแม่อยากสอนลูก ควรสอนให้หมดก่อนลูกอายุครบ 10 ขวบ เพราะยังอยู่ในช่วงที่ลูกยังน่ารัก และเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ ถือว่าเป็นการ "ปลูกฝัง" สิ่งดีงามให้อยู่ในใจของลูก ที่สำคัญพ่อแม่สอนด้วยคำพูดอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกัน เช่น ความเป็นสุภาพบุรุษ การเอาใจใส่และให้เกียรติ์เพศตรงข้าม เป็นต้น" คุณหมอสรุปทิ้งท้าย

เอาเป็นว่า ถ้าครอบครัวไหน ไม่อยากให้ลูกตาบอดเพราะ "ความรัก" ครอบครั้วนั้นต้องเอาใจเขา (ลูก) มาใส่ใจเรา (พ่อแม่) แล้วควรสอนตั้งแต่ยังลูกยังเด็ก นั่นจะเสริมเกาะที่แข็งแรงให้กับลูก ในการเผชิญกับโลกแห่งความรักในตอนโตได้อย่างรู้เท่าทันต่อไปครับ<:)

ไม่มีความคิดเห็น:

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

อัพโหลดไฟล์

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

Movie

สารบัญเว็บไทย

Thailand Map