Custom Search By Google

Custom Search

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เคล็ด (ไม่) ลับ “กินดี สุขภาพดี” ฝ่าวิกฤติ

4 เคล็ด (ไม่) ลับ “กินดี สุขภาพดี” ฝ่าวิกฤติ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2552 11:28 น.





ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคนในยุคต้องสู้นี้ มีเรื่องที่ต้องให้แก้ไขมากมาย ทั้งปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจที่รุมเร้าจนทำให้ใครหลายคนท้อแท้ไม่อยากที่จะทำอะไร เรียกได้ว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ รวมทั้งเอวของที่เริ่มหายไปทีละนิ้วก็หาใส่ใจไม่

“เนสท์เล่” จึงได้นำเคล็ดไม่ลับในการดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรักแบบง่ายๆ มาฝากหนุ่มสาวเฮลท์ตี้กัน เพื่อเป็นพลังในการฟันฝ่าอุปสรรคให้ผ่านพ้นไป

ผู้เชี่ยวชาญเนสท์เล่บอกว่า การที่มนุษย์จะมีสุขภาพที่แข็งแรงได้นั้น สิ่งหนึ่งต้องเกิดมาจากการรับประทานอาหารที่สมดุลนั่นเอง ซึ่งกินอย่างสมดุลก็หมายถึงการมีชีวิตที่สมดุลตามไปด้วย

การบริโภคอย่างสมดุล คือการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในสัดส่วนที่พอเหมาะกับวัย เพศ ขนาดของร่างกาย และพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยให้พิจารณาจากหลักพื้นฐานคือ ผู้หญิงต้องการพลังงาน 1,600-2,000 กิโลแคลอรี่/วัน เด็กต้องการ 1,200-1,800 กิโลแคลอรี่/วัน ผู้ชายต้องการ 2,000-2,500 กิโลแคลอรี่/วัน ผู้ใช้แรงงานหนัก/ผู้ออกกำลังกายหนักต้องการมากกว่า 3,000 กิโลแคลอรี่/วัน

เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ผู้เชี่ยวชาญได้ให้เคล็ดลับจำง่าย 4 ข้อในการกินอย่างสมดุลไว้ดังนี้

1. กินหลากหลาย เพิ่มผักผลไม้ – นอกจากกินอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรกินพืชผักให้มาก และกินผลไม้เป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 400 กรัม หรือให้ได้ผักมื้อละ 4-6 ช้อน เพื่อให้ร่างกายได้ใยอาหาร ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน





2. กินหวาน มัน เค็ม แต่พอดี – เพราะความหวานจากน้ำตาลเป็นพลังงานที่สูญเปล่า เป็นพลังงานที่ไม่มีเส้นใยอาหาร ไม่มีสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ใดๆ ยิ่งกินน้ำตาลเข้าไปมากเท่าใด ก็ยิ่งไปแย่งโควตาของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน และไม่ควรบริโภคโซเดียมเกินวันละ 2,400 มก. หรือเท่ากับน้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ เพราะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ ควรกินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร หลีกเลี่ยงของทอด ผัด แกงกะทิ รวมทั้งเลี่ยงการใช้น้ำมันทอดซ้ำ

3. กินเท่าไหร่ ใช้ให้หมด – แน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงขนมหวานชิ้นโปรด หรือแกงกะทิแสนอร่อยได้ แค่เพียงออกกำลังกายมากขึ้น เช่น ใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือเดินสะสมให้ได้วันละ 30 นาที ในวันที่รู้ตัวว่าได้แคลอรี่เยอะเกิน

4. อ่านฉลากโภชนาการให้เป็น – อ่านฉลากโภชนาการก่อนซื้อทุกครั้ง เพราะจะทำให้รู้ว่าอาหารที่กินนั้น มีคุณค่าและให้สารอาหารอะไรบ้าง ให้พลังงานกี่แคลอรี่ เหมาะกับสุขภาพหรือไม่ เช่น ผู้ที่กำลังลดน้ำหนักก็ควรเลือกอาหารที่ให้พลังงานน้อยๆ ผู้ที่เป็นเบาหวานก็ควรลดน้ำตาล ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงก็ควรเลี่ยงอาหารเค็ม เพียงเท่านี้ ทุกคนก็จะสามารถเปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์แถมยังคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปอีกด้วย

ช่วยลูกมีความคิดเชิงบวกด้วย L-O-V-E

ช่วยลูกมีความคิดเชิงบวกด้วย L-O-V-E / ดร.แพง ชินพงศ์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2552 10:07 น.





ลักษณะของความเป็นมนุษย์ คือ มีอารมณ์และความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง มีความสามารถในการคิดได้หลากหลาย สลับซับซ้อนและคิดได้หลายแง่หลายมุม คนเราคิดนั่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา แม้แต่เวลาหลับก็ยังคิด(แสดงออกมาในรูปของความฝัน) ความคิดกับอารมณ์เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างมาก ซึ่งหากเราคิดในแง่บวก มองโลกในแง่ดี ก็จะทำให้เรารู้สึกมีความสุข มีความหวังใจและมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ตรงกันข้าม หากเราคิดในแง่ลบ มองโลกในแง่ร้าย ก็จะทำให้เครียด มีความทุกข์และเกิดความล้มเหลวในชีวิตได้ง่าย ดังนั้น การมีความคิดเชิงบวกจึงเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะมีอยู่กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งความคิดเชิงบวกนี้สามารถเริ่มและพัฒนาได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจในการปลูกฝังให้ลูกรักของเราเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกได้ด้วยวิธีการดังนี้

1. L = Listen (รับฟัง) เด็กๆทุกคนต้องการให้คุณพ่อคุณแม่รับฟังความรู้สึกและความคิดเห็นของเขาอย่างจริงจัง เวลาที่ลูกพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หรือเวลาที่ลูกเล่าเรื่องใด ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของลูกเองหรือเรื่องกิจกรรมที่ลูกทำร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรรับฟังด้วยความใส่ใจและมีการตอบรับ ซักถามกับสิ่งที่ลูกเล่าโดยที่ไม่แสดงความรำคาญหรือเบื่อหน่าย ท่าทีเช่นนี้ของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยเสริมสร้างให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง กล้าคิด กล้าแสดงความคิดเห็นและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งจะพัฒนาให้ลูกเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น โดยเขาจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังที่ดี มีความเข้าใจและเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เขาเป็นที่รักของคนทั่วไป นอกจากนี้ผลดีอีกอย่างก็คือลูกจะไม่เป็นคนที่มีความลับกับพ่อแม่ด้วย

2. O = Opportunity (โอกาส) เด็กช่วงวัยอนุบาลถึงวัยรุ่นมีความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติและพร้อมที่จะทดลองเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สัมผัสและเรียนรู้ในกิจกรรมหลากหลายอย่างมีความสุขเพื่อให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ เช่น การเรียนศิลปะ ดนตรี กีฬา คุณพ่อคุณแม่อย่าบังคับให้ลูกต้องทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบและไม่ถนัด แต่ควรให้ลูกมีอิสระในการเลือกทำกิจกรรมที่เขาพึงพอใจด้วยตนเอง เพราะเมื่อเขาได้ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบและถนัดแล้ว เขาจะทำสิ่งนั้นได้ดี ซึ่งอาจพัฒนาจนเกิดความเชี่ยวชาญเลยก็เป็นได้ ดังนั้นการให้โอกาสจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการพัฒนาความคิดเชิงบวกของลูกในแง่ของการสร้างความภาคภูมิใจในตนเองและในการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้โอกาสแก่ผู้อื่นต่อไปด้วย

3. V = Vision (วิสัยทัศน์) หมายถึง การมองหรือการสร้างภาพในการเดินไปสู่อนาคต คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนลูก ไม่ว่าลูกมีความฝันหรือความตั้งใจอยากจะเป็นหรืออยากจะทำอะไร ตอนที่ผู้เขียนเป็นเด็ก เคยมีความฝันที่อยากจะเป็นจิตรกรเพราะชอบวาดรูป คุณพ่อคุณแม่ก็ให้การสนับสนุนโดยพาไปเรียนศิลปะ และหากมีโอกาสในวันหยุดก็พาไปดูงานแสดงภาพเขียน นอกจากนี้คุณครูที่โรงเรียนก็ให้การสนับสนุนด้วยโดยการส่งภาพวาดของผู้เขียนเข้าประกวดอยู่เสมอ แม้จะได้รางวัลบ้างไม่ได้รางวัลบ้าง แต่ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองในทุกครั้งที่นึกถึง (ถึงแม้ว่าเมื่อโตมาผู้เขียนจะไม่ได้เป็นจิตรกรก็ตาม)

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสนับสนุนและช่วยสานความฝันของลูก อย่ามองเป็นเรื่องตลกหรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะหากลูกได้รับกำลังใจและการเสริมแรงที่เหมาะสมแล้ว สักวันเขาจะไขว่คว้าสิ่งนั้นเอาไว้ได้และจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน ดังนั้นวิธีการนี้จึงเป็นการช่วยพัฒนาความคิดเชิงบวกของลูกในการมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จได้ด้วยตนเองและฝึกให้เขาเป็นคนที่จะมีความรู้สึกชื่นชมกับความคิดและความฝันของผู้อื่นเช่นกัน

4. E = Emotional Quotient (ความฉลาดทางอารมณ์) คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกได้เข้าสังคมคบหาเพื่อนทั้งในวัยเดียวกันหรือต่างวัย ทั้งเพื่อนเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ซึ่งถือเป็นการฝึกให้ลูกได้รู้จักการสร้างความสัมพันธ์และการปรับตัวในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ได้เรียนรู้ในการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ ผลัดกันเป็นผู้นำผู้ตาม เห็นอกเห็นใจ ให้อภัย ยอมรับความผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น ซึ่งการเป็นคนที่มีความฉลาดทางด้านอารมณ์นี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่มีความคิดเชิงบวกเพราะช่วยให้ลูกเป็นคนมีความคิดและจิตใจที่ดีงาม

5. L–O–V–E (ความรัก) คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความรักกับลูกในทุกทาง ทั้งคำพูดและการกระทำ เช่น โอบกอด รวมถึงการแสดงความเมตตากับลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น มั่นคงและปลอดภัย ความรักเหมือนยาวิเศษที่สามารถเปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีได้ เปลี่ยนเด็กดื้อให้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เปลี่ยนเด็กเกเรให้กลายเป็นเด็กอ่อนโยน เปลี่ยนเด็กอ่อนแอให้กลายเป็นเด็กเข้มแข็ง การแสดงให้ลูกรู้ว่าตนเองมีค่าและเป็นที่ยอมรับของคุณพ่อคุณแม่เป็นวิธีการสร้างความคิดเชิงบวกให้กับลูกได้ดีที่สุด ซึ่งนอกจากจะทำให้เขาจะเป็นคนที่เต็มอิ่มด้วยความรักแล้ว เขาจะเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่มอบความรักให้แก่ผู้อื่นด้วยใจจริงเช่นกัน

การที่ลูกมีความคิดในเชิงบวก ทำให้เขามีมุมมองที่ดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น การที่คุณพ่อคุณแม่รับฟัง (L) ให้โอกาส (O) สนับสนุนความคิดฝัน (V) ฝึกให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ (E) และมอบความรัก (L–O–V–E) ให้กับลูก ถือเป็นบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้ลูกของเราเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความคิดที่ดีงาม ซึ่งเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ไม่ว่าในวันนี้หรือในวันข้างหน้าที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาจะเป็นคนหนึ่งที่มีพลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามเพื่อสังคมได้ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านหนังสือ และสื่อประเภทต่างๆ




เทคนิคการอ่านหนังสือ และสื่อประเภทต่างๆ




หนังสืออ้างอิง ทุกประเภทซึ่งมีความแตกต่างกันการรู้จักใช้ส่วนต่างๆ ของหนังสือและเครื่องมือที่ช่วยในการค้นคว้าได้รวดเร็ว เพราะการค้นคว้าหนังสืออ้างอิงไม่จำเป็นจะต้องอ่านทั้งเล่ม ค้นคว้าเฉพาะตอนใดตอนหนึ่งที่ต้องการเท่านั้น การใช้ส่วนต่างๆ ของหนังสือ เช่น หน้าปก หน้าปกใน คำนำ คำอธิบายวิธีใช้ สารบัญ ดัชนี ดัชนีริมกระดาษ อภิธานศัพท์ ฯลฯ


นอกจากนั้น การใช้เครื่องมือที่ช่วยในการค้นคว้าได้รวดเร็ว เช่น คำนำทางที่หนังสือ (สำหรับหนังสือเป็นชุด) คำนำทางที่อยู่ตอนบนของหน้ากระดาษทุกๆ หน้า (ส่วนใหญ่จะมีในหนังสือพจนานุกรมและสารานุกรม) และส่วนโยงที่มีอยู่ทั้งใน เนื้อเรื่อง และดัชนี เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยในการค้นคว้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


หนังสือสารคดีทั่วๆ ไป เทคนิคในการค้นคว้าให้รวดเร็ว เช่นเดียวกับเทคนิคการค้นคว้าหนังสืออ้างอิงแต่ส่วนที่สำคัญที่ผู้อ่านควรรู้จักอ่านให้เกิดประโยชน์และรวดเร็ว นั่นคือการอ่านบทสรุปของหนังสือสารคดีทุกเล่มเพื่อเลือกอ่านเล่มที่ตรงกับความต้องการมากที่สุดทำให้ไม่เสียเวลาอ่านเนื้อเรื่องจนจบทั้งเล่ม



การอ่านนวนิยาย จะต้องอ่านเพื่อหาแกนหรือแก่น (Theme) ของเรื่อง ข้อคิดเห็นหรือปรัชญาของผู้เขียนที่แฝงไว้ตลอดจนความเหมาะสมของโครงเรื่อง (Plot) ตัวละคร ฉาก บทสนทนาฯลฯ


การอ่านเรื่องสั้น จะต้องพิจารณา เทคนิคการเขียนในการเริ่มต้นเรื่องน่าสนใจเพียงไร การดำเนินเรื่องและจุดจบที่หักมุมได้อย่างสวยงาม เป็นการคลี่คลายปมที่ทำให้ ผู้อ่านเกิดอารมณ์และความประทับใจ



เทคนิคการอ่านวารสารหรือนิตยสารทางวิชาการ ควรรู้จักการค้นคว้าโดยใช้ดัชนีวารสารช่วยค้น และการใช้สารบัญ บทคัดย่อ หรือบทสรุป ช่วยในการอ่านให้รวดเร็วไม่ต้องเสียเวลาอ่านจนจบนอกจากสนใจเรื่องใดจึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ


เทคนิคการอ่านวารสารบันเทิง การรู้จักใช้สารบัญและการเลือกอ่านบทความที่มีสาระไม่เป็นพิษเป็นภัย จะช่วยทำให้ผู้อ่านมีความรอบรู้ และได้รับความบันเทิงไปด้วย ทำให้คลายเครียดและคลายเหงาได้เป็นอย่างดี


เทคนิคการอ่านหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์มีทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน ราย 3 วัน รายสัปดาห์ ฯลฯ การอ่านหนังสือพิมพ์ควรอ่านข่าวพาดหัว และเลือกอ่านข่าวที่น่าสนใจ จะช่วยทำให้ผู้ที่มีเวลาน้อยจะสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้หลายๆ ฉบับ และเลือกอ่านฉบับที่เสนอข่าวรวดเร็วเที่ยงตรงไม่มีอคติ เป็นต้น



การอ่านสื่อโฆษณา ต้องพิจารณาเงื่อนไข และกติกา หาเหตุผลและความน่าเชื่อถือ ความน่าจะเป็นไปได้ เพราะอาจถูกหลอกลวงได้ง่าย ต้องสอบถามจากผู้มีความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนการเปรียบเทียบรายละเอียดต่างๆ จากข้อมูลที่ค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คุณภาพของสินค้า และผู้จัดจำหน่ายที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่


การอ่านฉลากยาและฉลากโภชนาการ มีความสำคัญที่จะต้องอ่านก่อนซื้อโดยต้องอ่านวันเดือนปีที่หมดอายุ วิธีใช้และการเก็บรักษาบริษัทผู้ผลิต/อายุผู้ใช้ รายละเอียดของปริมาณของสารในการผลิต และต้องผ่าน อย.โดยอ่าน เครื่องหมาย อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)


การอ่านฉลากของเล่นและเกมต่างๆ สำหรับของเล่นและเกมต่างๆ ก็เช่นเดียวกันถ้าเป็นของเล่นจากต่างประเทศจะต้องอ่านดูว่ามีคำว่า "Non-toxic" หรือไม่ ซึ่งหมายถึงการใช้สีและวัสดุที่ไม่มีพิษมีภัยกับเด็กและสำหรับของเล่นที่ผลิตในประเทศไทยจะต้องได้รับการรับรองจากสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งจะบอกขั้นตอนการผลิต ขั้นตอนการเล่นและอายุผู้เล่น เป็นต้น นอกจากนั้นจะต้องพิจารณา ฉลากเขียว (Green Label) ว่ามีหรือไม่ เพราะฉลากเขียวเป็นฉลากที่มอบให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว


การอ่านสื่อโสตทัศนวัสดุ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ต้องอ่านคำอธิบายวิธีใช้ บริการหลังการขายที่สำคัญมาก อายุของการประกัน คุณภาพ ราคาของการดูแลรักษา (ซึ่งแต่ละประเภท ราคา จะไม่เท่ากัน) ต้องเปรียบเทียบราคากับเครื่องอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ต้องศึกษาเพิ่มเติมจากผู้รู้และผู้มีประสบการณ์ ต้องศึกษาแนวโน้มของการผลิตรุ่นใหม่ๆ ที่มีเครื่องหรือชิ้นส่วนที่ใช้ด้วยกันได้หรือไม่ตลอดจนสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงได้ และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเป็นเครือข่ายกับหน่วยงานอื่นๆ ได้ง่าย
ต้องอ่านและพิจารณาความสามารถของสื่อที่เหมาะสมกับการใช้งานและหน่วยความจำตลอดจนราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ อ่านดูบริษัทผู้ผลิต พิจารณาความชำนาญและชื่อเสียงในการผลิตพิจารณาราคาในการติดตั้งและราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ (ซึ่งไม่แพงและหาอาหลั่ยง่าย) และค่าสมาชิกซึ่งไม่แพงจนเกินไป เป็นต้น


โดย รศ.ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์




ที่มาข้อมูล : รศ.ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์ คัดลอกมาจากวารสารสารสนเทศ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2546

สอนลูกอย่างไร? ไม่ให้ตาบอดเพราะ "ความรัก"

สอนลูกอย่างไร? ไม่ให้ตาบอดเพราะ "ความรัก"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 พฤษภาคม 2552 10:04 น.




ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


เด็กปัจจุบันโตเร็วขึ้น เพราะอาหารการกินเราดีขึ้น และพบว่า "แสง สี เสียง" ที่อยู่รอบๆตัวเรามีผลกระตุ้นระบบประสาทให้มีพัฒนาที่เร็วขึ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พบว่าเด็กผู้หญิงมักมีประจำเดือนครั้งแรกเร็วขึ้น เด็กประถมปลายบางคน ก็มีฮอร์โมนเพศทำงานแล้ว ทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาว และมองเพศตรงข้ามด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม

ด้านของฮอร์โมนเพศ ถือเป็นอิทธิพลสำคัญตัวหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ชายเริ่มเกิดการตื่นตัวทางเพศ เห็นเพศหญิงแล้วกระตุ้นให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ ส่วนผู้หญิงก็จะเริ่มสนใจดารา นักร้อง นักกีฬา รุ่นพี่หรือครูหนุ่มๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และคงไม่น่าแปลกที่เด็กประถมปลาย โดยเฉพาะเด็กป.6 ที่กำลังขึ้นม.1 เริ่มที่จะมีความรักนอกเหนือจากความรักของพ่อแม่

วันนี้ทีมงาน Life and Family ได้มีโอกาสพูดคุยกับ "นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล" หัวหน้าหน่วยจิตเวช รพ.พญาไท 2 ถึงเรื่องการทำความเข้าใจกับความรักของลูก ซึ่งคุณหมอได้ให้คำแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ในเรื่องนี้ว่า :


- ถ้าสังเกตว่าลูกเริ่มคบหากับเพื่อนสาว หรือเพื่อนชาย บอกลูกว่าพ่อแม่ไม่ห้ามเรื่องมีความรักในวัยเรียน หากมีแฟนแล้วทำให้ผลการเรียนดีขึ้น ขอให้ช่วยกันเรียน แต่ไม่ยอมรับหากการมีแฟนทำให้ผลการเรียนตกต่ำลง

- อย่าต่อต้านการที่ลูกจะสนใจดารา นักร้อง รวมทั้งการมีแฟน...แต่ให้ลูกเล่าเรื่องแฟนและความรู้สึกของเขาใน เรื่องนี้ (เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยให้เก็บไว้ในใจก่อน)

- ควรสอนลูกสาวว่า "ลูกสาวคือผู้หญิงที่พ่อแม่รักมากที่สุดในโลก...เพราะฉะนั้นพ่อแม่จึงอยากให้ลูกสาวรักษาเนื้อ รักษาตัว เพราะถ้าลูกสาวเป็นอะไรไป พ่อแม่หัวใจแตกสลาย"

- ควรสอนลูกชายว่า "ลูกชายคือเด็กหนุ่มที่พ่อแม่ภาคภูมิใจ...เพราะฉะนั้นพ่อแม่อยากให้ลูกชายตั้งใจเรียน เพื่อในอนาคตจะได้รับผิดชอบตัวเองและรับผิดชอบคนอื่นที่มาร่วมชีวิตกับเราได้ รักคุณแม่และพี่สาวอย่างไร ลูกชายต้องให้เกียรติเพศตรงข้ามเช่นเดียวกัน"

- เมื่อลูกโตขึ้น ความรักของลูกก็จะโตตามไปด้วย พ่อแม่ต้องเป็นฝ่าย "ฟัง" ลูก คือฟังว่าลูกของเราคิดเห็นอย่างไร ที่สำคัญคือ "ห้ามเถียง" อย่าเพิ่งเอาทัศนะส่วนตัวไปตัดสินว่าลูกผิด เพราะถ้ารีบขัดแย้งในทันทีที่ลูกพูด วันหลังเขาจะไม่เล่าเรื่องใดๆให้เราฟัง แล้วพ่อแม่จะกลายเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความลับของลูก ในวันหลังค่อยแสดงความคิดเห็นของเราว่าลูกคิดอย่างนี้ ส่วนพ่อแม่คิดอย่างนี้

- ถ้าพ่อแม่บอกให้เลิกกับแฟน ก็ไม่มีผลทำให้เขาเลิก...สิ่งที่ลูกจะเลิกคือเลิกพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเวลาเขามีปัญหาเรื่องแฟน เขาก็จะปรึกษาเพื่อน ไม่กล้าบอกพ่อแม่ เพราะประเมินแล้วว่าโอกาสถูกตำหนิมีมากกว่าได้คำตอบ

- เรื่องเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน พ่อแม่ก็สอนให้ลูกรู้จักการป้องกัน ด้วยการไม่อยู่กันสองต่อสองในที่ลับหูลับตา รู้จักการปฏิเสธ เช่น "การที่ฉันไม่ยอมมีอะไรกับเธอ ไม่ได้แปลว่าฉันไม่รัก...แต่เป็นเพราะฉันเห็นว่ามันยังไม่ถึงเวลา" "ถ้าเธอรักฉันจริง เธอต้องรอฉันได้...เธอเป็นผู้ชายที่ฉันรัก แต่ฉันพร้อมก็ต่อเมื่อเราแต่งงานแล้วเท่านั้น"

คุณหมอบอกยังต่อว่า ไม่เฉพะแต่เพียงพ่อแม่เท่านั้นที่ต้องเข้าใจลูก แต่ลูกๆ ควรต้องรู้ตัวเองด้วยว่าความรักมี 2 อย่าง คือ "เมตตา" (Passion) และ "เมตตา" (Compassion)

"ความรักกับเพื่อนๆ (เพศเดียวกันหรือต่างเพศ) ควรเป็นแบบเมตตา คือ เห็นใจ ช่วยเหลือ เอื้ออาทรต่อกัน แต่หากเราเกิดความเสน่หากับใคร (สังเกตได้จากความรู้สึก "คิดถึง" และ "หึงหวง") ก็เป็นความรู้สึกธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ แต่อย่าคาดหวังว่าเขาจะต้องรักตอบ...เวลาลูกมีความผิดหวังหรืออกหัก พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนคอยรับฟังที่ดี"

"อะไรก็ตามที่พ่อแม่อยากสอนลูก ควรสอนให้หมดก่อนลูกอายุครบ 10 ขวบ เพราะยังอยู่ในช่วงที่ลูกยังน่ารัก และเชื่อฟังพ่อแม่อยู่ ถือว่าเป็นการ "ปลูกฝัง" สิ่งดีงามให้อยู่ในใจของลูก ที่สำคัญพ่อแม่สอนด้วยคำพูดอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติตนให้สอดคล้องกัน เช่น ความเป็นสุภาพบุรุษ การเอาใจใส่และให้เกียรติ์เพศตรงข้าม เป็นต้น" คุณหมอสรุปทิ้งท้าย

เอาเป็นว่า ถ้าครอบครัวไหน ไม่อยากให้ลูกตาบอดเพราะ "ความรัก" ครอบครั้วนั้นต้องเอาใจเขา (ลูก) มาใส่ใจเรา (พ่อแม่) แล้วควรสอนตั้งแต่ยังลูกยังเด็ก นั่นจะเสริมเกาะที่แข็งแรงให้กับลูก ในการเผชิญกับโลกแห่งความรักในตอนโตได้อย่างรู้เท่าทันต่อไปครับ<:)

แซนวิชเนื้อปู

แซนวิชเนื้อปู




ส่วนประกอบ

ขนมปังโฮลวีต 4 แผ่น
เนยสำหรับทาขนมปัง
ผักสลัดตามชอบ
หอมแขกหรือหอมหัวใหญ่หั่นเป็นแว่น 1-2 หัว
เนื้อปูนึ่งสุก 1 ถ้วย
มายองเนส 1/4 ถ้วย
หอมเล็กสับหยาบ 1-2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
ลูกเคเปอร์ (ไม่ใส่ก็ได้) 1 ช้อนชา
เกลือ พริกไทยอย่างละน้อย
Tabasco (ถ้าชอบ) 1-2 ช้อนชา

วิธีทำ

ผสมมายองเนส หอมเล็กสับ เกลือ พริกไทย น้ำมะนาว ลูกเคเปอร์ คนให้พอเข้ากัน
จากนั้นใส่เนื้อปูคลุกให้เข้ากันเบาๆ ชิมรส
ทาเนยบนขนมปังให้ทั่ว วางผักสลัด หอมแขก แล้วทาเนื้อปูที่ปรุงไว้ให้
ประกบขนมปังทาเนยอีกแผ่นเป็นแซนวิช

ปลาดุกฟูขี้เมา

อร่อยถึงเครื่อง "ปลาดุกฟูขี้เมา" / กุ๊กเล็ก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤษภาคม 2552 10:44 น.


โดย : กุ๊กเล็ก






พูดถึงปลาดุกฟู หลายคนคงต้องนึกถึงเมนูยำปลาดุกฟูอันเป็นเมนูยอดฮิต ตอนนี้ "กุ๊กเล็ก" ก็มีวัตถุดิบเป็นปลาดุกฟูเหมือนกัน แต่คิดๆดูแล้วไม่ทำยำปลาดุกฟูดีกว่าเพราะมะนาวตอนนี้แสนจะแพง แถมยังเป็นมะนาวหน้าแล้วน้ำแห้งเสียเหลือเกิน เลยเปลี่ยนใจมาทำ "ปลาดุกฟูผัดขี้เมา" ที่อร่อยเด็ดไม่แพ้กัน

ส่วนผสม

ปลาดุกย่าง 1 ตัว
พริกขี้หนู 10 เม็ด
กระเทียม 1 หัว
ใบมะกรูด 10 ใบ
พริกไทยอ่อน 1 ช้อนโต๊ะ
มะเขือพวง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
น้ำปลา 1 ช้อนชา
น้ำมันพืชสำหรับทอดปลาและผัด

วิธีทำ เริ่มจากนำปลาดุกย่างมาแกะเนื้อเลือกก้างออกแล้วยีให้ละเอียด แล้วจึงนำไปทอดในน้ำมันร้อนจัดจนขึ้นฟูเป็นปลาดุกฟู เสร็จแล้วตักออกจากกระทะวางพักให้สะเด็ดน้ำมัน

จากนั้นหันมาตำพริกขี้หนูกับกระเทียมโขลกให้เข้ากัน ตั้งกระทะให้ร้อนอีกครั้งหนึ่งแล้วนำพริกกับกระเทียมที่โขลกรอไว้ลงไปผัดจนหอมฟุ้ง แล้วจึงนำปลาดุกฟูที่พักไว้ลงมาผัดกับพริกจนเข้ากันดี ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล น้ำปลา ปิดท้ายด้วยการนำใบมะกรูด พริกไทยอ่อน และมะเขือพวงลงไปผัดคลุกเคล้าอีกครั้ง ก็เป็นอันเสร็จ "ปลาดุกฟูขี้เมา"จานอร่อย กินกับข้าวสวยร้อนๆ รับรองต้องได้เติมข้าวเพิ่มอีกแน่ๆ

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทำ Music Video กันเถอะ

โดย ต่อพงษ์ 11 พฤษภาคม 2552 13:23 น.

คราวที่แล้วเขียนเรื่องการเอาไฟล์วิดิโอขึ้น ยูทูบ กัน หวังว่าคุณป้าคุณอาพ่อแม่ผู้รักชาติที่มีคอมพิวเตอร์จะสามารถทำอะไรง่ายๆ แบบนี้ได้สำเร็จแล้วนะครับ แต่เพียงแค่เอาไฟล์ขึ้นอย่างเดียวมันยังไม่สะใจพอ เรามาทำมิวสิกวิดีโอง่ายๆ แล้วส่งขึ้นยูทูบกินดีกว่า

วันนี้ผมจะแนะนำแบบที่ผมว่ามันง่ายที่สุดแล้วก็ไม่ต้องไปหาโปรแกรมอะไรมาเพิ่มเติม เพราะมันมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกคนอยู่แล้วนั่นคือ Window Movie Maker โปรแกรมนี้มันจะแถมมาอยู่ในเครื่องคอมพิวแตอร์ที่ลงวินโดว์สเป็นระบบช่วยปฏิบัติงานอยู่แล้วนั่นเอง

โปรแกรมตัวนี้ถูกสร้างขันเพื่อให้มันใช้งานง่ายที่สุดนะครับ แต่เพราะเหตุผลนี้ โปรแกรมมันก็เลยไม่ค่อยที่จะใช้แล้วดูเป็นมือโปรเท่าไหร่ ไม่เหมือนโปรแกรมอย่าง Ulead หรือ Adobe Premier หรือ Vegasโปรแกรมที่เราพูดถึงนี้เขาทำมาให้พอใช้งานได้...และใช้ง่ายเป็นมิตรกับคนที่ไม่เป็นอะไรเลย

เพื่อให้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังไม่มีไฟล์วิดีโออยู่ในเครื่อง วันนี้เราจะมาทำมิวสิกฯ โดยใช้ภาพถ่ายกันก่อน เพราะผมเชื่อว่าทุกคนที่อ่านคอลัมน์นี้คงมีรูปถ่ายมากกว่า ซึ่งวันนี้ผมจะทำมิวสิกวิดีโอเล่นๆ ประกอบเพลง I here Maew ก็แล้วกัน

แต่ก่อนที่เราเปิดโปรแกรมแถม เราจะต้องมีหลักการของการทำวิดิโอไฟล์ง่ายๆ อยู่ซึ่งคุณป้าคุณอาต้องท่องเอาไว้ คือการที่เราจะทำมิวสิกวิดีโอนั้นสิ่งที่เราจะต้องมีก็คือ 1. ตัวไฟล์วิดิโอหรือไฟล์ภาพก็ได้ 2.เราจะเลือกเชื่อมไฟล์เหล่านั้นจากฉากต่อฉากแบบไหน 3. เสียงที่จะมาประกอบ ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่จะต้องคิดก่อนเลยครับ

สมมุตว่าตอนนี้เราอยู่หน้าเครื่องคอมพ์ทุกคนแล้ว เรามาเริ่มเปิดโปรแกรม วินโดว์ มูวี่ เมคเกอร์ นี้กันเลยครับ ซึ่งก็เข้าตามปรกตินั่นแหล่ะ พอขึ้นมาหน้าตาของมันจะเป็นอย่างที่เห็นนี่ (รูปที่ 1) อย่างที่ผมบอกละครับว่าเราต้องเริ่มต้นมีคอนเซ็ปท์ก่อน สำหรับผมเพลง I Hear Maew ขึ้นมา เพลงนี้คุณสมิธ จอเหลืองเขียนแล้วส่งมาให้ผมฟังเล่นๆ ตั้งแต่ตอนปี 2548 เมื่อฟังปุ๊บผมก็คิดว่า มันควรจะต้องเล่าเรื่องคนเหล่านี้ ควบคู่กับไปบรรดาสัตว์เลื้อยคลาน เพราะฉะนั้นภาพที่จะมาใช้มันก็เลยจะต้องมีภาพของสิ่งเหล่านี้อยู่ แน่นอนเราก็ไปหาภาพมาเลย

เมื่อหาภาพได้แล้วเราก็เลื่อนเมนูด้านข้างที่เขียนว่า import picture นะครับ มันก็จะขึ้นหน้าต่างให้เราเลือกไฟล์ภาพที่เราต้องการ เราก็ลากเมาส์ไปคลิกที่รูปที่เราต้องการแล้วกด Import เลย แต่ถ้าเราไม่อยากเลือกทีละรูป เราก็ใช้วิธีกดปุ่ม Ctrl บนแป้นไว้ก่อนแล้วลากเมาส์ไปคลิกบนรูปต่างๆ แล้วกด Import ทีเดียวมันก็จะมาทีเดียวเยอะๆ ตามที่เราต้องการ

ข้อสองก็คือ Import เพลงละครับ ขั้นตอนก็เหมือนเดิม เราจะเห็นว่าทั้งไฟล์ภาพ ทั้งไฟล์เพลง จะมาอยู่บนหน้าจอใส่วนที่เรียกว่า Collection เมื่อคิดว่าได้ครบแล้วเราก็มาเริ่มทำกันเลย

วิธีที่จะง่ายและไม่สับสนก็คือ เราจะเห็นหน้าจอด้านล่างที่เขียนว่า Show Storyboard นะครับ เราจะคลิกตรงนั้น หน้าจอด้านล่างจะเปลี่ยนเป็นหน้าตาอีกแบบเราเรียกส่วนนี้ว่า Time line ตรงนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ที่เขียนว่า Video (ภาพ) ส่วนต่ำลงมาคือ Audio (เสียง) และข้างล่างสุดก็คือ Title Overlay (ตัวอักษรและไตเติ้ล บรรยายต่างๆ)

วิธีเอาภาพและเสียงเข้ามาสู่โปรเจคท์ของเราก็ไม่มีอะไรมาก เริ่มจากเอาไฟล์ภาพเข้ามาบ้างวิธีก็เหมือนกันครับ ลากเอาไฟล์ภาพมาใส่ไว้ในส่วน Video ในส่วนของเพลงเราลากเมาส์ไฟล์เพลงที่อยู่ตรง Collection เข้ามาวางไว้ที่ส่วนของ Audio ข้างล่างเลย เพลงของเราก็จะเข้ามาตามต้องการ

ตอนนี้ในความเป็นจริงถ้าเราเซฟไฟล์ปุ๊ปมันก็จะเป็นมิวสิกฯ เพลงประกอบภาพง่ายๆ ไปแล้วนะครับ แต่เพราะว่าเราต้องคำนึงถึงการต่อเนื่องของภาพ เราจะต้องเข้าไปที่เมนู Edit ด้านข้าง ตรงที่เขียนว่า View Video Transitions อันนี้คือการเลือกตัวเชื่อมไฟล์ให้ต่อเนื่อง พอเรากดเข้าไปปุ๊บเราจะเห็นเมนูขึ้นมา เราก็ลากไอ้เจ้า Transition รูปแบบต่างๆ มาไว้ระหว่างภาพเลย

เกือบเสร็จแล้วครับ สุดท้ายเราก็ต้องมีไตเติ้ลนะครับ เราคลิกเข้าไปที่บอกว่า Make Title and credit กดลงไป ในนั้นจะมีเมนูที่บอกว่า จะสร้างไตเติ้ล(หัวเรื่อง) ไตเติ้ลจบ (ท้ายเรื่อง) ไปจนกระทั่งแทรกคำบรรยายตรงกลางระหว่างภาพ หรือ ก่อนหน้าภาพเข้า ก็ได้ทั้งนั้น จากนั้นก็พิมพ์ลงไปเลย การบรรยายตรงนี้ ได้ทั้งภาษาไทย ทั้งอังกฤษ เลยครับ เราสามารถเปลี่ยนสีได้ตรงเมนู Change Text And Font

เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จปุ๊ป เราก็เซฟเลยครับ ตรงนี้โปรแกรมจะเซตไว้คุณภาพดี ซึ่งทำกันจริงๆ ก็ไม่เกิน 20 เมกซึ่งขนาดพอเหมาะจะส่งขึ้นยูทูบได้เลยจากนั้นก็กดเซฟ รอซักแป๊บเพื่อให้เครื่องมันทำการจัดการทุกอย่างให้เข้ากัน เขาจะถามว่าเมื่อ Finnish แล้วจะลองเพลย์ภาพเลยดีไหม ก็เอาเลยครับ ลองดูผลงานของเรา

นี่คือวิธีที่ผมคิดว่าง่ายที่สุด แน่นอนมันอาจจะมีวิธีอื่นๆ แต่การใช้ Movie Maker ทำอะไรง่ายๆ แบบนี้ก็เป็นการฝึกฝนตนที่ดีก่อนจะไปใช้โปรแกรมระดับโปรกันนะครับ

มาดูด Youtube กันเถอะ


โดย ต่อพงษ์ 29 มีนาคม 2552 12:16 น.


อาทิตย์ที่แล้วพูดถึงเรื่องของการดูดเสียงจากอินเทอร์เน็ตไปในบทความ ก็มีผู้ใหญ่ที่เคารพท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม) กรุณาโทรศัพท์มาที่ออฟฟิสพร้อมกับขอบอกขอบใจในเรื่องนี้

ท่านพูดมาเรื่องหนึ่งน่าสนใจครับว่า ถ้าผมสามารถสอนให้คนอายุ 40 ขึ้นไปที่เดี๋ยวนี้เข้ามาอ่านข่าวทางเว็บไซต์นี้ได้เรียนรู้เรื่องเทคนิคเหล่านี้บ้าง รับประกันว่าเป็นเรื่องแน่ๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้จะไม่อยากรู้ แต่เพราะไม่มีคนเขียนหนังสือแนะนำผู้สูงอายุเหล่านี้ต่างหาก ถ้ามีคนสูงอายุสักครึ่งหนึ่งที่อ่านบทความนี้และสามารถทำตามที่ผมแนะนำได้ โลกแห่งการแบ่งปันสื่อบันเทิงที่แต่ละคนเก็บเอาไว้นั้นคงจะขยายตัวมากขึ้นแหงๆ

ผมฟังทฤษฏีนี้แล้วก็เห็นด้วย เพราะด้วยสภาพที่ท่านผู้อ่านสามารถจะเป็นคนที่กระจายเสียงและแพร่ภาพได้เอง(ผ่าน Youtube )ไปจนกระทั่งการตั้งตัวเป็นเจ้าของรายการเอง การสร้างคิวเพลงขึ้นมาเองนั้น (ผ่าน Imeeem ,Ijigg ,Esnipes) ไม่มีทางที่การดำเนินธุรกิจเพลงจะเป็นไปได้เหมือนสมัยก่อนที่ทุ่มซื้อสื่อ หรืออัดโฆษณาเพลง หรือ ซื้อเวลารายการได้อีกแล้ว

โดยเฉพาะในเมืองไทยที่ดูเหมือนจะตัดคนอายุ 40 ขึ้นไป ออกจากสารบบของการเสพความบันเทิงทางเสียงนั้นเป็นเรื่องที่ชวนสังเวชใจชะมัดยาด ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมค่ายเพลงเมืองไทยถึงต้องเป็นอย่างงั้น ทั้งๆ ที่กลุ่มคนวัยนี้มีกำลังซื้อและยังเข้าใจคำว่าการมี Royalty ต่อศิลปินอยู่ แต่คนกลุ่มนี้กลับถูกทอดทิ้งอย่างน่าเสียดาย...

รับทราบแบบนี้แล้วก็มีกำลังใจจะเขียนต่อ ซึ่งตอนนี้กระซิบไว้ว่าอย่าพลาดที่จะอ่าน เพราะถ้าท่านผู้อ่านอายุ 40 ขึ้นไปนี้ทำได้ โลกของการตามเก็บความฝันในอินเทอร์เน็ตจะกว้างไกลขึ้นอีกมากเลยครับ

ก่อนอื่นเลยท่านผู้อ่านกรุณาไปดาวน์โหลดโปรแกรมฟรีที่ชื่อ Youtube Downloader ที่เว็บไซต์ http://youtubedownload.altervista.org/ กันมาก่อนเลยครับ

ที่ต้องให้ไปดาวน์โหลดและจัดการ Install โปรแกรมตัวนี้ลงไปในเครื่องของท่านก็เพราะเราจะใช้มันเป็นเครื่องมือในการดูดและแปลงไฟล์ภาพและเสียงที่มีอยู่ใน Youtube มาเก็บไว้ใช้ในชีวิตของเรา





เชื่อว่าคนเล่นคอมพ์พิวเตอร์ต้องรู้จัก Youtube (www.youtube.com) เพราะมันคือเว็บไซต์แรกๆ ของโลกที่คุณสามารถจะกระจายภาพและเสียงได้ด้วยตนเอง พูดง่ายๆ ก็คือ ใครก็ตามที่มีไฟล์ภาพเคลื่อนไหว เสียงเพลง คลิปหนัง หรือ คลิปอะไรก็ตามแต่ แล้วไม่อยากจะเก็บไว้ดูคนเดียวก็สามารถจะมากระจายภาพและเสียงผ่านเว็บนี้ได้ คอนเซ็ปท์ Broadcast Yourself ก็มาจากเว็บนี้นั่นเอง

เว็บนี้มีคนเข้ามาหลายล้านคนจากทั่วโลก และแต่ละคนพร้อมจะแบ่งปันและแสดงตัวตนและความชอบพอของตนเองผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเล่นดนตรีโชว์ความสามารถ ทำตลกโปกฮา ไปจนกระทั่งไม่ฮา โชว์ความแปลก โชว์คลิปแปลกๆ จากในประเทศของตัวเอง ทุกคนที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกสามารถอัพโหลดไฟล์ของตัวเองได้ไม่อั้นจนปัจจุบันนี้ใน Youtube มีไฟล์วิดิโอหลายพันล้านไฟล์ให้ดู และเข้าใจว่าตอนนี้พวกเขาคืออันดับสามของโลกที่มีคนเข้ามาดูกันมากที่สุดรองจาก ยาฮู และ กูเกิล

สำหรับเว็บนี้ถ้าใครไม่มีเวลามากพอก็อย่าเข้าเลย เพราะว่ามันจะดูดให้คุณทุกคนอยู่ติดกับมัน โดยเฉพาะถ้าเผื่อคุณมีความประทับใจในอดีตที่หาที่ไหนไม่เจอ...คุณจะมาเจอกับมันที่นี่เอาง่ายๆ ทีเดียวละครับ
ยกตัวอย่างเช่นวง Zard ของญี่ปุ่นที่เคยฟังตอนยังละอ่อนในยุค 80 วันดีคืนดีได้ข่าวว่า Izumi Sakaiนักร้องนำเกิดเป็นมะเร็งจากนั้นก็ดันมีอุบัติเหตุล้มหัวฟาดขอบซีเมนต์แล้วตาย...ข่าวนี้ทำเอาคนที่เคยฟังเพลงของเธอถึงกับช็อก ไอ้อาการคิดถึงที่ว่า กลายเป็นน้ำตาไหลขึ้นมาเมื่อเข้ามาใน Youtube เพราะมีคนเข้ามาโพสต์มิวสิควิดิโอและคอนเสิร์ตของเธอเต็มไปหมดพร้อมกับข้อความให้เธอไปสู่สุขคติ ผมนั่งดูไปน้ำตาก็ไหลไป

หรือหนังทีวีเก่าๆ อย่างเคนโด้ที่อยู่ในความทรงจำ ก็สามารถจะมาดูแว่บๆ ได้ที่นี่ ขณะที่หนังใหม่ๆ หลายเรื่องที่เป็นซีรนี่ส์ ผมก็ดูได้จากที่ยูทูบเช่นกัน





แต่การดูเว็บไซต์นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย เพราะบางครั้งเนตช้ากว่าจะดูกันได้ก็ต้องรอกันนาน เพราะฉะนั้นก็เลยมีคนหัวใสหาทางที่จะดูดทั้งคลิปวิดิโอเหล่านั้นแล้วมาแปลงให้เข้ากับฟอร์แม็ตของเราที่จะดูหรือจะฟังโดยไม่ต้องรอ และหนึ่งในเครื่องไม้เครื่องมือที่เจ๋งมากๆก็คือไอ้เจ้าโปรแกรม Youtube Downloader นี่แหล่ะครับ

ที่ผมชอบเพราะมันง่าย ตัวอย่างที่ผมสอนคุณพ่อผมภายในเวลาไม่กี่นาทีท่านก็ทำได้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นท่านผู้ใหญ่ที่อ่านอยู่ก็น่าจะทำได้เช่นกันนะครับ เพราะเพียงแค่ 1. เรียกโปรแกรมนี้ขึ้นมา 2.ก็อปปี้ URL ของหน้าเว็บที่มีคลิปนั้นลงมาใส่ในช่องแรกของโปรแกรมตรงช่อง Enter Video URL จากนั้นก็กด OK ทันที 3.ตัวโปรแกรมเขาก็จะดูดไฟล์ดังกล่าวลงมาที่เครื่องเรา ซึ่งจะให้มันไปอยู่ตรงไหนก็ตั้งได้ครับตรงปุ่มใต้ URL ซึ่งของผมตั้งไว้ที่หน้าจอเลย หาง่ายดี 4. พอดาวน์โหลดเสร็จปุ๊ป สิ่งที่เราจะทำต่อไปก็คือจัดการ Convert หรือแปลงไฟล์มันซะ โดยเลือกที่ด้านล่าง คลิกให้มันเป็น Convert Video จากนั้นก็ไปเลือกไฟล์วิดิโอที่เราโหลดมาแล้วโดยคลิกไอ้เจ้าสี่เหลี่ยมท้ายๆช่อง Select video file เราก็เลือกมาเลย จากนั้นช่องเข้าล่างที่เขียนว่า Convert To นั้นก็ติ๊กเอาเลยครับว่าจะแปลงไฟล์ให้เป็นอะไร ถ้าเผื่อจะเอาไว้ใช้กับ Ipod ก็ต้องแปลงเป็นไฟล์ Mov ถ้าจะเอามาดูผ่าน Window media player ก็เลือกเป็น WMI หรือถ้าจะเอาเสียงเฉยๆก็เลือกเป็น MP3 ก็ได้ จากนั้นกดโอเค 5. มันก็จะสร้างไฟล์มัลติมีเดียวตัวใหม่ขึ้นมาตามที่เราต้องการให้คุณเก็บเอาไว้ในคอลเลคชั่นเลยละครับ...ทั้งหมดนี้กินความไม่น่าจะเกิน 5 นาที

แต่ข้อเสียก็มีอยู่ เพราะหลายครั้งที่ไฟล์บนยูทูบจะมีเสียงที่ไม่ค่อยดี คือถ้าไม่คิดมากก็ดูดเก็บไว้ดูให้คลายเหงาหรือคลายความคิดถึงได้ ไม่ต้องไปเอาสาระอะไรมาก เอาแค่กลับไปสู่อดีตก็พอแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ปั้นน้ำเป็นเงิน

วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 15 ฉบับที่ 228

ปั้นน้ำเป็นเงิน

ผู้แต่ง

หลายหลายเครื่องดื่มจากนมโคสด

ปักษ์นี้ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยครับ ที่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เล่าเรื่องท่องเที่ยวให้ฟังเลย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ช่วงนี้ต้องคิดค้นเครื่องดื่มใหม่ๆ ให้แฟนๆ ไว้ทำขายกันไงครับ

ปักษ์นี้เราจะมาทำนมสด (นมโคแท้ๆ) จำหน่ายกันดีกว่า หรือถ้าใครอยากจะเข้าอบรมกับผู้เขียนก็ได้นะครับ หลักสูตรใหม่เปิดแล้วครับ คุ้มค่าเงินที่สุด ในวิชา กาแฟโบราณเชิงบูรณาการ สูตรอาจารย์เชษฐา รับรอง เอาชื่อเสียงเป็นประกัน เรียนแล้วเปิดร้านได้เลย รับรองความอร่อย ข้อสำคัญที่สุด ทุกท่านที่เข้าเรียนแล้ว ถ้ากลับไปแล้วทำไม่ได้ ผู้เขียนขอเป็นผู้รับผิดชอบในชีวิตให้เลยครับ

การตุ๋นนมโคสด

ก่อนที่เราจะทำเครื่องดื่มประเภทที่มีส่วนผสมของนมโคสดแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ นั้น เราต้องนำนมโคสดแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ มาทำการต้มจนเดือดก่อน จากนั้นหรี่ไฟให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้นมโคสดไหม้ สาเหตุที่เราต้องนำนมโคสดแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ มาทำการต้มก่อนนั้น เพราะนมโคสดแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ซื้อมาจากฟาร์มนั้นจะเป็นน้ำนมดิบ เราจะต้องนำมาผ่านการฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน

ที่จริงแล้วการต้มนมก็เป็นวิธีการที่ทำได้เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เพราะการต้มนมนั้น ถ้าไม่สนใจดูแล น้ำนมอาจไหม้ได้ครับ ส่วนวิธีการที่ดีที่สุดคือ การตุ๋นด้วยน้ำร้อน จะเป็นวิธีการที่เหมาะที่สุดครับ

การชงกาแฟและเครื่องดื่มนมสดเย็น

1. นมสดเย็น

ส่วนผสม

1. นมโคสดแท้ 100% 2.5 ออนซ์

2. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

3. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักนมโคสดลงไปในแก้วผสม

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

2. เนสกาแฟนมสดเย็น

ส่วนผสม

1. เนสกาแฟเอสเปรสโซ่ 2 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักเนสกาแฟเอสเปรสโซ่ ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

3. ชาเย็นนมสด

ส่วนผสม

1. ผงชาเย็น 2 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักผงชาเย็น ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

4. ชาเขียวนมสดเย็น

ส่วนผสม

1. ผงชาเขียว 2 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักผงชาเขียว ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

5. มอคค่ามิลค์เย็น

ส่วนผสม

1. เนสกาแฟเอสเปรสโซ่ 1 ช้อนชา

2. ผงโกโก้ 1 ช้อนชา

3. นมโคสด 2.5 ออนซ์

4. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

5. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

6. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักเนสกาแฟเอสเปรสโซ่ และผงโกโก้ ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

6. โอวัลตินนมสดเย็น/ไมโลนมสดเย็น

ส่วนผสม

1. โอวัลติน (สูตร 3)/ไมโล 3 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักโอวัลติน (สูตร 3)/ไมโล ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

7. โกโก้นมสดเย็น

ส่วนผสม

1. ผงโกโก้ 2 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักผงโกโก้ ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

8. ลาเต้นมสดเย็น

ส่วนผสม

1. ผงลาเต้ 1 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักผงลาเต้ ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน น้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

9. คาปูชิโน่นมสดเย็น

ส่วนผสม

1. ผงคาปูชิโน่ 2 ช้อนชา

2. นมโคสด 1.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 2 ช้อนชา

4. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักผงคาปูชิโน่ ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ ปิดหน้าด้วยฟองนม

10. นมชมพู

ส่วนผสม

1. น้ำหวานแดงเฮลซ์บลูบอย 3 ช้อนชา

2. นมโคสด 2.5 ออนซ์

3. นมข้นหวาน 1 ช้อนชา

4. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. เทน้ำหวานแดง ลงในแก้วผสม จากนั้นเติมนมโคสดลงไป คนให้แตกตัว

2. เติมนมข้นหวาน จากนั้นคนให้เข้ากัน

3. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้ และโรยด้วยนมสด หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

เอาล่ะครับ ผู้เขียนขอมอบสูตรพอหอมปากหอมคอก่อนครับ ซึ่งท่านผู้อ่านที่ประกอบกิจการค้าเครื่องดื่มอยู่แล้วสามารถนำไปค้าขายได้ แต่ถ้ายังไม่จุใจ ต้องการความรู้ เทคนิค และวิธีการมากกว่านี้ เชิญมาอบรมกับผู้เขียนได้เลยครับ รับรองว่าเครื่องดื่มที่จะได้ในวันนั้นมีเกือบร้อยสูตรเห็นจะได้ ใครอยากมีชีวิตใหม่ไม่ต้องขอใครกิน เชิญมาอบรมวิชาชีพที่ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ของเราดีกว่า มีให้เลือกเรียนเป็นร้อยวิชา ที่แน่ๆ วิทยากรที่นี่มืออาชีพจริงๆ





รักคนอ่าน

ข่าวประชาสัมพันธ์ หนังสือเล่มใหม่ของผู้เขียนชื่อ "สมูธตี้ สปาดริ๊งก์ ม็อกเทล พั้นช์" ซึ่งเป็นเล่มต่อเนื่องจากสมูธตี้และเหล้าปั่น เล่มเหลือง และ สมูธตี้และเหล้าปั่น เล่มสอง สีฟ้า บัดนี้ได้ออกวางตลาดแล้วครับ ขอเชิญแฟนๆ คอลัมน์หาซื้ออ่านได้แล้ว ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ หรือจะมาซื้อที่ตึกมติชน หรือตึกข่าวสดก็ได้ครับ รับรองความประทับใจ เนื้อหาไม่ดีจริง ยินดีคืนเงินให้ครบจำนวนเลยครับ

สภากาแฟสมัยใหม่

ความเหมือนที่แตกต่าง ของร้านกาแฟสมัยใหม่




ได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนของกาแฟทีไร ก็ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ในการลิ้มลองรสชาติความอร่อยของเครื่องดื่มชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นตามร้านกาแฟชื่อดังต่างๆ ร้านกาแฟรสชาติสไตล์ไทยๆ หรือจะเป็นการชงกาแฟดื่มเองภายในบ้านผมก็ไม่เกี่ยง เพราะจะเน้นที่รสชาติกาแฟนุ่มลิ้นถูกปากมากกว่ายึดติดอยู่ที่แบรนด์ของร้านกาแฟ


แต่เดี๋ยวนี้ร้านกาแฟขนาดกลางและขนาดย่อม ที่เกิดขึ้นมาใหม่มีค่อนข้างเยอะ เพราะเงินลงทุนที่ใช้ในการเปิดร้านกาแฟนั้นไม่สูงมากมายนัก ทำให้ร้านกาแฟรายย่อยหลายๆ ร้านจำเป็นต้องปรับตัวในการทำธุรกิจให้ทันต่อสภาวะตลาดและลูกค้ามากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าหากร้านกาแฟของคุณต้องมาเจอกับคู่แข่งที่เปิดร้านอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน คงไม่ดีแน่ๆ ครับ ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบร้าน หากลยุทธ์ในการทำโปรโมชันเรียกลูกค้า และโปรโมตร้านกาแฟของคุณขึ้นมาใหม่แล้วแหละ ถึงจะเป็นทางแก้ไขที่ดีที่สุด และถ้ายิ่งสามารถทำให้ร้านกาแฟของคุณกลายเป็นแหล่งชุมนุมของ “สภากาแฟ” ได้ละก็ คุณก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วแหละครับ มีลูกค้ามาใช้บริการแน่นร้านทุกวันแน่นอน ซึ่งคุณอาจจะลองนำไอเดียที่ผมนำเสนอนี้ไปใช้ดูก็ได้ไม่ว่ากัน

อันดับแรกเลยครับคือ การตกแต่งร้านกาแฟของคุณให้มีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อเป็นการดึงดูดคอกาแฟทั้งหลายให้กลับมาใช้บริการใหม่ในครั้งต่อไป หรือหากเป็นร้านกาแฟที่อยู่ในเมืองตามตึกสำนักงานต่างๆ ก็อาจจะมีมุมพักผ่อนให้ผู้ที่เข้ามาดื่มกาแฟได้คลายเครียดจากหน้าที่การงานในระหว่างวัน รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โปรโมชันในการเรียกลูกค้า ก็ต้องทำได้อย่างทันท่วงที เพื่อเป็นการดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้าน ซึ่งเราก็แค่คิดและพิมพ์ใบโปรโมชันใหม่ๆ ขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง จะทำเป็นแบบรายวัน รายเดือน รายสัปดาห์ หรือจะเป็นการ์ดใบเล็กก็ได้ แปะไว้ที่กระจกหน้าร้าน ตั้งเอาไว้ให้หยิบได้โดยง่าย หรือจะใส่กรอบตั้งไว้ที่โต๊ะกาแฟก็ได้ไม่ว่ากัน และไม่จำเป็นต้องไปจัดจ้างพิมพ์ที่ไหน เพราะใช้เครื่องพิมพ์อเนกประสงค์ของเอชพี ที่คุณมีเอาไว้ใช้งานอยู่ภายในร้านอยู่แล้วนั่นเอง หรือถ้ายังไม่มีก็เป็นทางเลือกที่ดีที่จะนำเครื่องพิมพ์อเนกประสงค์มาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณ


ที่สำคัญ คุณอาจจะประยุกต์ฟังก์ชันแฟกซ์ มาใช้ในร้านกาแฟของคุณนี่ก็เข้าท่าดีนะครับ เพราะส่วนมากพนักงานที่ทำงานอยู่ตามออฟฟิศต่างๆ ภายในตึก ก็มักจะโทรศัพท์สั่งกาแฟครั้งละหลายๆ แก้ว ทำให้คุณต้องมานั่งเสียเวลาจดใบออเดอร์ใหม่ทุกครั้ง และที่สำคัญสำนักงานส่วนใหญ่จะมีเครื่องแฟกซ์ตั้งเอาไว้งานอยู่แล้ว เราก็อาจปรับเปลี่ยนไปใช้ใบรายการสั่งกาแฟพร้อมราคาของร้านเราแทน นำไปตั้งไว้ที่ออฟฟิศของลูกค้าเพื่อให้สามารถแฟกซ์ใบสั่งกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ของพนักงานทั้งในออฟฟิศ มายังร้านเราได้เลยในครั้งเดียว ช่วยลดความผิดพลาดในการจดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องได้อีกด้วย แถมยังช่วยให้คุณสะดวกต่อการรับลูกค้าที่มารอรับบริการที่หน้าร้านของเราได้เหมือนเดิมอีกตังหาก สะดวกดีมั๊ยละครับ

นอกจากนั้น คุณยังสามารถนำไปต่อยอดในเรื่องของการพิมพ์คูปองสำหรับสะสมแต้มสำหรับลูกค้า เพื่อนำมาแลกกาแฟแก้วต่อไปฟรีก็ได้เช่นกัน เรียกได้ว่ามีแค่ร้านกาแฟมีเครื่องพิมพ์อเนกประสงค์เพียงเครื่องเดียว ก็สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบขึ้นแล้วใช่มั๊ยละครับ เพราะใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชันจริงๆ ทั้ง พิมพ์ สแกน แฟกซ์ และก๊อปปี้ แค่นี้คุณก็สามารถสร้างโปรโมชันและกลยุทธ์ในการเรียกลูกค้าใหม่ๆ ได้ด้วยตัวคุณเองแล้วครับ รับรองได้ผลแน่นอน กลายเป็นร้านกาแฟสไตล์ใหม่ เป็นหนึ่งในใจลูกค้าของคุณ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hp.com/th/aio หรือสอบถามข้องมูลเพิ่มเติมได้ที่ HP Contact Center: 0-2353-9000 # 1

กาแฟ เครื่องดื่มจากแดนสวรรค์


ถ้าโลกนี้มีคนเพียงหนึ่งร้อยคน เชื่อว่าจะมีถึงเจ็ดสิบคนที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ...

คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินความจริงเลย เมื่อมีการสำรวจและค้นพบว่า ร้อยละ 70 ของประชากรโลกเกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มสีเข้มนี้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของโลก

อะไรเล่าที่ทำให้กาแฟร้อยรัดดวงใจของคนจำนวนมหาศาล ให้ตกอยู่ใต้มนต์ของกลิ่นกรุ่น รสขมสุขุมและม่านไออุ่นที่ลอยอวลเหนือขอบถ้วยอย่างไม่อาจถอนใจได้

ตั้งแต่ราชา จนถึงยาจก ตั้งแต่รัฐมนตรี จนถึงยามเฝ้าบริษัท ตั้งแต่คีตกวีเรืองนาม จนถึงบุคคลที่โลกไม่รู้จัก ตั้งแต่ดอยสูงเสียดฟ้า จนถึงรถเข็นในเมืองใหญ่ บนโลกที่หมุนรอบตัวในแต่ละวัน ชีวิตของเราด้วยหรือเปล่าหนอ... ที่อาบด้วยเสน่ห์และมนตราแห่งเครื่องดื่มสีเข้มขลังนี้ ในทางใดทางหนึ่ง...
เรื่องราวของกาแฟ ถูกกล่าวว่าเป็น ชีวประวัติที่น่าค้นหา มหัศจรรย์ เป็นบันทึกการผจญภัยในเชิงศาสตร์และศิลป์ที่น่าทึ่ง...

1.

บันทึกของโลก กล่าวถึงมนต์ขลังของกาแฟ ว่ากันว่า กาแฟถือกำเนิดขึ้นในดินแดนอันเหลือเชื่อนาม “เอธิโอเปีย” ประเทศที่เต็มไปด้วยผืนดินแห้งกร้าน แต่ก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่นั่น!

เมื่อเมล็ดกาแฟงอกเงยขึ้นครั้งแรก ณ ประเทศเอธิโอเปีย หากแต่สิ่งมีชีวิตแรกที่ได้ลิ้มลองกาแฟนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่กลับเป็นฝูงแกะที่ออกอาการกระโดดโลดเต้นทุกครั้ง ยามที่คนเลี้ยงแกะคือนายคาลดี (Kaldi) ปล่อยมาหาอาหาร อาการของฝูงแกะหลายตัว ทำให้คาลดีสงสัยยิ่งนัก จึงเฝ้าสังเกตการณ์ แล้วก็พบว่าสิ่งที่ทำให้ฝูงแกะของเขาคึกคักขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา คือ ลูกไม้ช่อเล็กๆ สีแดงสดใส ด้วยสีสันอันสุกปลั่งเย้ายวนใจ และด้วยความกระหายใคร่รู้ ก็ยั่วยุให้คาลดีตัดสินใจทดลองชิมดูบ้าง

...ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้รู้ว่าเหตุใดบรรดาฝูงแกะ จึงกระปรี้กระเปร่าและคลั่งไคล้ลูกไม้ชนิดนี้นัก เพราะตัวเขาเองก็สดชื่นทุกครั้ง เมื่อได้ลิ้มลองเจ้าลูกสีแดงชนิดนี้เช่นกัน

จากปากต่อปาก ไม่นานข่าวการค้นพบลูกไม้มหัศจรรย์ก็แพร่กระจายไปทั่ว ด้วยรสชาติและคุณสมบัติที่ร่ำลือกันว่าเยี่ยมสามารถปลุกเร้าและกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความกระปรี้กระเปร่า มีเรื่องเล่าว่ามีนักบวชนาม “ชาเดลี” (Chadely) ผู้กำลังแสวงหาวิธีการขจัดความง่วงเพลียในเวลาที่ประกอบพิธีสวดมนต์เกิดสนใจ ลองนำผลไม้เล็กๆสีแดงสดนั้นมาตากแห้ง กะเทาะเปลือกออก แล้วนำเมล็ดข้างในไปคั่ว บด ชงกับน้ำร้อนดื่ม ซึ่งได้สร้างความแปลกประหลาดใจ และกลายเป็นจุดเริ่มของเครื่องดื่มสีเข้มชนิดนี้

ความมหัศจรรย์ของกาแฟได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ความนิยมได้แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ต้นกาแฟ กลายเป็นพืชพันธุ์ล้ำค่า จนกระทั่งในศตวรรษที่ 16 เมื่อนายบาบา บูดาน (Baba Budan) ได้เพาะต้นกล้ากาแฟขึ้นมา และลักลอบแจกจ่ายให้พ่อค้าชาวดัตช์ เพื่อนำไปปลูกที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ต้นกล้ากาแฟรุ่นนี้ถือเป็น “กล้ากาแฟชุดแรก” ของยุโรปในเวลาต่อมา

2.

เมื่อกาแฟเดินทางไปถึงยุโรป เครื่องดื่มรสเข้มชนิดนี้ ได้สร้างความรู้สึกแปลกใหม่บนปลายลิ้นของผู้ที่ได้ลิ้มลอง จนถูกขนานนามว่า “A Drink from Paradise…Available on Earth”

ไม่นานนัก น้ำสีน้ำตาลรสเข้ม ได้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในยุโรป ในปี ค.ศ.1554 ธุรกิจร้านกาแฟ เกิดขึ้นครั้งแรกที่กรุงสแตนติโนเปิล ที่นั่นถือเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของนักนิยมศิลปะ และวรรณกรรม ณ เวลานั้นผู้คนต่างเรียกร้านแห่งนี้ว่า Qahweh Khaneh ( แหล่งปัญญาหรือ School of Wisdom)

ขณะที่ร้านกาแฟร้านแรกในอังกฤษ เปิดตัวที่เมืองออกซฟอร์ด ในปี ค.ศ.1650 หลังจากนั้นอีก 2 ปี ก็มีร้านกาแฟเล็กๆ เปิดบริการมากมายทั่วกรุงลอนดอน เรียกกันว่า Penny Universities เนื่องจากค่ากาแฟมีราคาถ้วยละ 1 เพนนี และภายในร้านจะมีกล่องทองเหลืองสลักคำว่า To Insure Promptness (เพื่อความทันใจ) เพื่อให้บรรดาลูกค้าจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อยเป็นสินน้ำใจแลกกับการบริการที่รวดเร็วและดีเยี่ยม ต่อมาวลีนี้ถูกย่อสั้นๆ ให้เหลือแค่อักษรตัวแรกของแต่ละคำ คือ TIP และคำนี้เองเป็นที่มาของคำว่า ทิป (Tip) ที่ใช้กันจนถึงปัจจุบัน

มีบันทึกที่น่าสนใจกล่าวไว้อีกว่า ปี ค.ศ.1683 กองทัพตุรกีเข้าล้อมกรุงเวียนนา แต่ไม่สามารถตีกรุงเวียนนาแตกได้ จนต้องยกทัพกลับ ทิ้งไว้แต่เมล็ดกาแฟ เป็นที่มาของร้าน Blue Bottle ร้านกาแฟแห่งแรกของกรุงเวียนนาที่มีเจ้าของชื่อโคลชิตสกี (Kolchitzky) ผู้คิดค้นการกรองกาแฟบด และการดื่มกาแฟแบบหวานๆใส่นมและน้ำตาล

วิวัฒนาการของกาแฟ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 คอกาแฟยุโรปเริ่มผสมช็อกโกแลตในกาแฟ เพื่อให้เกิดกลิ่นรสที่พิเศษขึ้น

ขณะที่ตำนานในหน้าประวัติศาสตร์การเติมน้ำตาลในกาแฟครั้งแรก เชื่อกันว่าเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1715 เมื่อชาวดัตช์ถวายต้นกาแฟแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส และมีการดื่มกาแฟใส่ น้ำตาลเป็นครั้งแรกในพระราชสำนักของพระองค์

ปี ค.ศ.1901 วิวัฒนาการกาแฟสำเร็จรูปได้เริ่มขึ้น เมื่อนักเคมีลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน ชื่อ ซาโตริ คาโต (Satori Kato) ได้คิดค้นขึ้น และถัดมา กาแฟในรสชาติใหม่ๆกลิ่นผลไม้ สมุนไพรก็เกิดขึ้นในธุรกิจกาแฟที่หลากหลาย

3.

จากทวีปสู่ทวีป ในที่สุดเครื่องดื่มจากสวรรค์ก็เดินทางมายังประเทศไทยในปี พ.ศ. 2447 เมื่อนายดีหมุน ชาวสวนผู้นับถือศาสนาอิสลามเดินทางไปยังเมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย แล้วนำเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) จากดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์กลับมาทดลองปลูกในบ้านของตนเอง ที่ตำบลโตลด อำเภอสะบ้าย้อย หัวเมืองสงขลาแห่งสยามประเทศ

แม้กาแฟทั่วโลก จะมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่เป็นที่นิยมในการบริโภคและทางเศรษฐกิจนั้นมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์อาราบิก้า และพันธุ์โรบัสต้า
มีการบันทึกจากพระสารศาสตร์พลขันธ์ (นายเจรินี ) ชาวอิตาลี ซึ่งเข้ามารับราชการในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า กาแฟพันธุ์อาราบิก้า (Arabica) ได้ปลูกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 ก่อนจะเดินทางสู่ยอดดอยในปี พ.ศ.2521 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างเสด็จพระราชดำเนินตรวจเยี่ยมราษฎร ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟ และที่สำคัญควรปลูกกาแฟในสายพันธุ์ที่แตกต่างจากภาคใต้ แต่นั้นมาจึงมีการสนับสนุนและวิจัยการปลูกกาแฟในประเทศไทยเรื่อยมา

เรื่องราวจากกาแฟ 1 ถ้วย มีมากมายไม่รู้จบ ทั้งที่เป็นเรื่องราวในตำนานเล่าขานจากสมุดบันทึกและเรื่องราวจากอารมณ์ความรู้สึก อเล็กซานเดอร์ โพพ (Alexander Pope) กวีชาวอังกฤษ (ค.ศ.1688-1744) กล่าวว่า “กาแฟทำให้นักการเมืองฉลาดขึ้น และมองทะลุสิ่งต่างๆ ได้แม้เพียงเผยอเปลือกตา”

เรื่องราวของการเดินทางที่แสนยาวไกลของเมล็ดพันธุ์กาแฟ อาจสวยงามและสร้างความสุขไม้แพ้การเดินทางของดวงดาวบนทางช้างเผือก หากแต่ความแตกต่างนั้น ความสุขจากการดูดาวสวยงามต้องรอเวลาค่ำคืน แต่ความสุขจากการดื่มกาแฟนั้นมีได้ทุกเวลา และทุกหนทุกแห่ง เพียงแค่คุณมีกาแฟถ้วยโปรดอยู่ในอุ้งมือ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

อัพโหลดไฟล์

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

Movie

สารบัญเว็บไทย

Thailand Map