Custom Search By Google

Custom Search

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า?

Subject:
เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า?



วันหนึ่งเมื่อยังเด็ก
แอนดี้น้องชายของฉันนั่งอยู่ที่มุมห้องนั่งเล่น
ในมือข้างหนึ่งมีปากกาหนึ่งด้าม
ขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งก็ถือหนังสือสะสมราคาแพงของพ่อ

แอนดี้คงจะปีนขึ้นไปหยิบจากบนชั้นหนังสือ

เมื่อพ่อเดินเข้ามาในห้อง
แอนดี้ก็ก้มหน้างุดและทำท่ากระสับกระส่าย

เขารู้ตัวดีเชียวละว่ากำลังทำผิด
แม้จากระยะไกล

ฉันก็เห็นรอยขีดเขียนเปร
อะไปทั่วบนหน้าหนังสือของพ่อ

และตอนนี้แอนดี้ก็กำลังจ้องมองพ่อตาโตด้วยความหวาดหวั่น
รอคอยที่จะถูกทำโทษ

พ่อหยิบหนังสือขึ้นมามอง
แล้วก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

หนังสือทุกเล่มมีความหมายต่อพ่อมาก
หนังสือคือความรู้
และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือสะสมราคาแพง
แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เป็นพ่อที่รักลูกมาก

สิ่งที่พ่อทำในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้นยอดเยี่ยมมาก

แทนที่ท่านจะลงโทษหรือดุแอนดี้
หรือแม้แต่ตำหนิความซุกซน
พ่อกลับนั่งลง
หยิบปากกาในมือแอนดี้ขึ้นมาถือไว้

แล้วก็เขียนอะไรบางอย่างลงในหน้าหนังสือสะสมราคาแพงนั่นเสียเอง

พ่อเขียนที่ข้างๆลายเส้นที่แอนดี้ขีดว่า

"ภาษาของแอนดี้เมื่ออายุสองขวบ
ต่อไปนี้
ไม่ว่าครั้งไหนที่พ่อหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิด พ่อก็จะเห็นใบหน้าน้อยๆ
ที่น่ารักและดวงตาที่สดใสของลูก
และจะขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเด็กน้อยคนนี้
มาให้ขีดเขียนบนหนังสือแสนหวงของพ่อ
ลูกทำให้หนังสือเล่มนี้ของพ่อมีความหมาย
เหมือนกับที่พี่ๆของลูกนำความหมายมาสู่ชีวิตของพ่อเหมือนกัน"


"ว้าว..." ฉันคิด

นี่หรือคือการลงโทษของพ่อ?

นานๆครั้งฉันก็จะหยิบหนังสือที่สะสมไว้มาให้ ลูกหลานของฉันขีดเขียนเล่น


ทุกครั้งที่มองดูลายมือหยุกหยิกเหล่านั้น

ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อทำในวันนั้น

พ่อได้สอนให้ฉันรู้ว่า…
''อะไรกันแน่ที่มีค่าต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง''


ซึ่งนั่นก็คือ
''คนที่เรารัก ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ''


ลองมองย้อนดูตัวคุณเองนะคะ ในแต่ละวัน

เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อยู่เสมอ

เช่นคุณนั่งกินข้าวกับภรรยาอยู่ที่ร้านอาหาร

เธอหวังดีอยากจะเทซอสให้คุณ

แต่มันกลับหกไปเลอะเสื้อต ัวเก่งของคุณ

และคุณก็ทำสีหน้าที่ตำหนิเธอและคำพูดที่บอกว่า
"เดี๋ยวผมเทเองก็ได้"

นอกจากคำขอโทษที่เธอพร่ำบอก
น้ำตาใสๆก็เริ่มเอ่อขึ้นในใจเช่นเดียวกัน
เพราะอาหารมื้อนั้น
ไม่มีรสชาติสำหรับเธอเสียแล้ว

แต่ถ้าคุณบอกกับเธอว่า
ถ้าซักไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก
เมื่อผมหยิบเสื้อขึ้นมาใช้ครั้งใด
ผมจะหวนนึกถึง
ร้านอาหารนี้ทุกครั้งไป
ที่ได้มีโอกาสมาทานข้าวกับคุณ
และได้คิดถึงทุกครั้งว่าภรรยารักและเอาใจใส่ผมมากเท่าใด
อยากปรนนิบัติเอาใจ
(จนเทซอสหกใส่ผม)

แต่ว่าคราวหน้าออกมาทานข้าว
ผมจะเป็นคนเทซอสให้คุณมั้งล่ะ (ทีนี้ตาผมมั่ง)

รอยยิ้มจากหัวใจของเธอได้เริ่มโบยบินแล้ว
แค่นี้คุณก็ลงโทษเธอให้ระวังมากขึ้นแล้วล่ะค่ะ
.
.
.
สิ่งที่มีค่าต่อชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่นาฬิกาเรือนละแสน
หรือเนคไทเส้นละหลายๆพัน

แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจ
ที่คุณรู้ว่ามีใครคนหนึ่ง เฝ้ารัก
เฝ้าถนอมความรู้สึกคุณอยู่ตลอดเวลาต่างหาก
...แล้วคุณล่ะคะ
เคยลงโทษใครด้วยความรักหรือเปล่า…

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

มนุษย์ทุกๆคนมีเสรีภาพและมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าเท่าเทียมกัน

มนุษย์ทุกๆคนมีเสรีภาพและมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าเท่าเทียมกัน




เมื่ออายุ 10 ขวบ ยอร์ชจากครอบครัวคาร์เวอร์ไปเรียนหนังสือ
ที่โรงเรียนสำหรับเด็กนิโกรที่เมืองนีโอโช ในวัยเช่นนี้ ยอร์ชย่อมหวั่น
กลัวบ้างที่ต้องจากบ้านที่อยู่ตั้งแต่เกิด นางคาร์เวอร์ก็เสียใจที่ยอร์ชจะ
ต้องจากไป แต่ก็รู้ว่า เด็กต้องต่สู้ดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง จึงได้จัด
เตรียมเสื้อผ้าอาหาร และแนะนำการใช้ชีวิตในอนาคตให้
ยอร์ช วอชิงตัน คาร์เวอร์ ต้องทำงานรับจ้าง เช่น ตัดฟืน กวาดสนาม
รับใช้เบ็ดเตล็ด และพักนอนในยามค่ำคืนที่ยุ้งข้าวเก่าๆ
ในช่วงปิดภาคเรียนก็ทำงานเพื่อหารายได้เป็นค่าเล่าเรียน

เขามีความมุ่งมั่นที่จะเรียนหนังสือ เพื่อจะได้อ่านหนังสือที่มีค่าเล่มหนึ่ง
ซึ่งเฮอร์แมน เยเกอร์ ได้มอบให้

วันหนึ่งจอห์น มาร์ติน ผู้จัดการโรงโม่แป้งได้มาพบยอร์ช ที่ยุ้งข้าว
จึงได้รับยอร์ชเข้าไปทำงานอยู่ในบ้านด้วย เด็กน้อยทำงานทุกอย่าง
ด้วยความขยันขันแข็ง กระตือรือร้น เต็มใจ ตั้งแต่ชักผ้า
ล้างถ้วยชาม ทำอาหาร และดูแลสนามหญ้า

จอห์น มาร์ติน และภรรยา สอนยอร์ช หลายอย่าง สอนทั้งการงาน การคบคน
ความรู้ทั่วไป ตั้งคำถามให้ยอร์ชตอบ และฝึกตั้งคำถาม มาร์ตินคิดว่ายอร์ชควร
จะได้พบปะผู้คนบ้าง จึงแนะนำให้ยอร์ชไปโบสถ์ เขาบอกยอร์ชว่าโบสถ์เป็นที่ประทับ
ของพระเจ้า แต่เด็กน้อยผู้นี้ได้จดจำมาจากคำภีร์ที่นายคาร์เวอร์อ่านว่า
" พื้นแผ่นดินในโลกเป็นของพระเจ้า" จึงได้ตอบทาร์ตินว่า
"พระเจ้ามิได้ประทับอยู่แห่งเดียว พระองค์อยู่ทั่วพิภพ "
ยอร์ช วอชิงตัน คาร์เวอร์ มีความเห็นว่า
"นมัสการพระเจ้าในป่าดีกว่าในโบสถ์ "
แต่เขาก็ไปโบสถ์ตามคำแนะนำของมาร์ติน

ยอร์ชสำเร็จจาก ร.ร. มัธยมที่เมืองมินิโปริสในมลรัฐแคนซัส
เขามิได้อยู่ร่วมในการทำพิธีแจกประกาศนียบัตร แต่กลับไปฉลองความสำเร็จกับ
ครอบครัวคาร์เวอร์
ยอร์ชบอกนายและนางคาร์เวอร์ว่า "ผมจะไปเรียนที่วิทยาลัย เพื่อจะอ่านหนังสือ
ทุกๆชนิด และเรียนทุกอย่างที่ครูจะสอนให้ แล้วพระเจ้าจะทรงบอกให้ผมได้ทราบ
ถึงความลึกลับของพระองค์ แล้วก็จะมีงานให้ผมทำในโลกนี้
เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นของพระเจ้า"

นายและนางคาร์เวอร์ส่งยอร์ช วอชิงตัน คาร์เวอร์ ออกเดินทางไปเรียนต่อด้วยความรู้สึก
ภูมิใจในเด็กตัวเล็กๆ ขี้โรค ที่พวกเขาดูแลมาตั้งแต่เด็กๆ

ยอร์ชลงทะเบียนเรียนศิลปะที่วิทยาลัยซิมป์สัน (Simpson College) รัฐไอโอวา
นอกจากเป็นจิตรกรเขายังเป็นผู้นำในทางดนตรีด้วยเขาเป็นผู้นำนักศึกษาร้องเพลง
และเป็นหนึ่งในคณะร้องเพลงในโบสถ์ด้วย

ในขณะที่วาดภาพอยู่นั้น ก็มีเสียงเร้าใจให้เขาต้องสะดุดอยู่เสมอว่า
" เจ้ามีมือเป็นคนทำสวน มือเจ้าถูกต้องสิ่งใด จะบังเกิดชีวิต
ทำให้บังเกิดชีวิตมิใช่เลียนแบบชีวิต"

เขาจึงลาออกจากมหาวิทยาลัซิมป์สัน
และเข้าเรียนเกษตรกรรมที่วิทยลัยแห่งรัฐไอโอวา(Iowa State College )
จนได้รับปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์(Bachelor of Science-B.S. )เมื่อปี ค.ศ.1894
เขาเป็นนิโกรคนแรกที่เรียนสำเร็จจากวิทยาลัยนี้ และเป็นครูคนแรกของวิทยาลัยนี้ด้วย
โดยสอนพฤกษศาสตร์ระหว่างปี( ค.ศ.1894-1896 )
แต่เขาก็ทิ่งโอกาศแห่งความเจริญก้าวหน้าทีี่จะได้รับจากวิทยาลัยแห่งรัฐไอโอวา
ไปสอน เด็กนิโกร ที่ด้วยโอกาศขาดแคลนกว่า
ที่สถาบันทัสเคกี Tus Kegce Institute ) ในอัลบามา

คาร์เวอร์ร่วมมือกับนักเรียน สรา้งห้องทดลองเพื่อผลิตเครื่องใช้ที่จำเป็นในครัวเรือน
เขาทำงานในห้องทดลองวันละหลายชั่วโมง เพื่อทดลองหาหนทางเพื่อช่วยเหลือชาวนา
ที่ยากจนในภาคใต้ เขาแนะนำให้เกษตรกรใช้พืชตระกูลถั่วเพื่อปรับปรุงดิน ที่เสื่อมสภาพ
จากการปลูกฝ้ายมานานปีให้กลับอุดมสมบูรณ์

เขาได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ ๒ ปริญญาและด้รับเหรียญมากมาย มีคนเสนองาน
ที่มีรายได้สูงให้เขาหลายข้อเสนอ แต่เขายังคงสอนอยู่ที่ทัสเคกีตลอดมาเกือบ 50 ปี


เฮนรี่ ฟอร์ด กับ ดร.คาร์เวอร์ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทดลองความคิดใหม่ๆ
เปลี่ยนพื้นดินและบุคคลที่กำลังเสียไปให้กลับเป็นประโยชน์

ปี 1940 ดร. คาร์เวอร์ นำรายได้ของเขาที่สะสมไว้
ตั้งมูลนิธิ George Washington Carver Foundation เพื่อเป็นทุนสำหรับการวิจัย
ทางการเกษตรของชาวนิโกร

เดือนพฤศจิกายน 1942 ได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติในสภาคองเกรส
มีใจความว่าขอให้ยกกระท่อมเก่าแก่ ซึ่งใกล้ปรักหักพังและถูกทอดทิ้งร่างไว้ในทุ่งนา
ที่รัฐมิสซูรีบ้านเกิดของดร. คาร์เวอร์ ให้เป็นโบราณวัตถุสำคัญชิ้นหนึ่งของชาติ
โบรารวัตถุชิ้นนี้ นอกจากเป็นเกียรติที่ระลึกถึงดร.คาร์เวอร์ เด็กนิโกรผู้ต่ำต้อย
ทว่าสามารถทำงานที่เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาตหลายประการแล้ว
ยังเป็นเครื่องยืนยันหลักการที่ว่า มนุษยทุกๆคนมีเสรีภาพ
และมีโอกาศที่จะเจริญก้าวหน้าเท่าเทียมกัน

นอกจากงานที่ทัสเคกีแล้ว ยอร์ช วองชิงตัน คาร์เวอร์ ได้ทำงานร่วม
กับสำนักงานพืชอุตสาหกรรมแห่งสหรัฐ(U.S.Bureau of Plant Industry )
และเป็นสมาชิกราชบัณฑิตสาขาศิลปะ แห่งลอนดอน( Royal Society of Arts' London )

วิทยาศาสตร์กับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

นายแพทย์ภากร จันทนมัฏฐะ "หลักวิทยาศาสตร์ทั่วไปไม่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ไบเบิล ยกเว้นทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน"
ขอขอบคุณ นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 288 กุมภาพันธ์ 52 ปีที่ 24
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=910





วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์
ประเวช ตันตราภิรมย์ : ถ่ายภาพ


๑๒ กุมภาพันธ์ปีนี้ถือเป็นวันครบรอบวันเกิด ๒๐๐ ปีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ทรง อิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ไม่มีแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์คนใดที่ส่งผลกระทบต่อโลกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคม การเมือง ศาสนา ปรัชญา ศิลปะ ฯลฯ ได้เท่ากับงานเขียนของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน

ค.ศ. ๒๐๐๙ หนังสือ The Origin of Species ของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน จะมีอายุครบ ๑๕๐ ปี นับจากการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ๑๘๕๙ หนังสือเล่มนี้ได้รับยกย่องว่าเป็นหนังสือที่ทรงพลังที่สุดในโลกวิทยาศาสตร์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหนังสือยอดเยี่ยมตลอดกาลของหลายสถาบัน ทั่วโลกตลอดมา ทั้งยังได้รับการการันตีว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่ "ต้องอ่าน" และ "ทรงอิทธิพล" อย่างยิ่งต่อแนวคิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของคนตะวันตกและของมนุษยชาติ

หัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือการพูดถึงทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยการคัดสรรตามธรรมชาติ

แต่ ทฤษฎีวิวัฒนาการขัดแย้งกับหลักคริสต์ศาสนาโดยสิ้นเชิง ในพระคัมภีร์ไบเบิลเขียนไว้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดภายใน ๖ วัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์เลื้อยคลาน นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนถึงมนุษย์ ล้วนถูกสร้างมาในช่วงเวลานั้น ไม่มีวิวัฒนาการสืบต่อกันมาตามทฤษฎีที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน อธิบาย

ตอนที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน มีชีวิตอยู่ แนวคิดของเขาได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวคริสต์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา บางโรงเรียนที่เคร่งศาสนาไม่ยอมให้มีการสอนทฤษฎีวิวัฒนาการ

ทุกวันนี้ยัง มีประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลกปฏิเสธทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ทั้งๆ ที่ในวงการวิทยาศาสตร์ด้านธรรมชาติและชีววิทยา ทฤษฎีนี้ถือเป็นเสาหลักของวิชาด้านนี้ไปแล้ว

แม้แต่ในประเทศไทย ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดของดาร์วิน และหนึ่งในนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่

สารคดี มีโอกาสได้สนทนากับ นาวาโท นายแพทย์ภากร จันทนมัฏฐะ (รน.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์และอาจารย์หน่วยโรคหัวใจ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คริสตชนผู้แสดงความเห็นขัดแย้งกับทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน อย่างมีเหตุผลที่น่าสนใจ

ลองมาฟังแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์ผู้เชื่อในพระเจ้าและกล้าวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกมาช้านาน

ทำไม ตอนที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ประกาศการค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการจึงได้รับการคัดค้านจากชาวคริสต์ โรงเรียนในอเมริกาบางแห่งก็ยังไม่ยอมให้สอน
เท่าที่ความรู้อัน จำกัดของผมมี หลักวิทยาศาสตร์ทั่วไป ไม่มีเรื่องใดขัดแย้งกับพระคัมภีร์ไบเบิล ยกเว้นทฤษฎีของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เท่านั้นที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในพระธรรมปฐมกาล(Genesis) ของคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า พระเจ้าทรงสร้างฟ้า แผ่นดิน สิ่งมีชีวิตและสัตว์แต่ละชนิดขึ้นมา โดยไม่ได้มีวิวัฒนาการใดๆ จากปลามาสู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มาเป็นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเป็นมนุษย์ตามทฤษฎีวิวัฒนาการเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างสัตว์แต่ละชนิดขึ้นมาโดยตรง ทรงใช้เวลาในการสร้างจักรวาล โลก และสิ่งมีชีวิต ๖ วัน และวันที่ ๗ ทรงพักผ่อน

หากไปศึกษาไบเบิลฉบับภาษาฮีบรู ๗ วันในที่นี้อาจมิได้หมายถึงวันละ ๒๔ ชั่วโมง แต่หมายถึง ๗ ช่วงเวลา และเวลาของพระเจ้าก็ยาวนานกว่าเวลาของมนุษย์มาก ในไบเบิลกล่าวว่า "เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์ เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว หรือเหมือนยามเดียวในค่ำคืน (สดุดี ๙๐:๔)" หากเทียบ ๖ วันแรกกับจักรวาลที่มีอายุประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปี โดยแบ่งออกเป็น ๖ ช่วงเวลา แต่ละช่วงเวลาจะไม่เท่ากัน ช่วงเวลาแรกตอนกำเนิดจักรวาลหรือบิ๊กแบงนั้นมีระยะเวลายาวนานกว่าช่วงที่ ๒ เพราะตามหลักทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กล่าวว่า ในสนามแรงโน้มถ่วงสูง เวลาจะเดินช้าตามแรงโน้มถ่วงที่สูงขึ้น เนื่องจากตอนกำเนิดจักรวาล แรงโน้มถ่วงที่สูงทำให้ช่วงเวลาที่ ๑ ยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ ๒ เท่าตัว และช่วงเวลาที่ ๒ จะยาวนานกว่าช่วงเวลาที่ ๓ เท่าตัว เป็นดังนี้เรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาที่ ๖ และหากอาศัยสมการของการยืดออกของเวลาจะพบความสัมพันธ์ระหว่างวันของพระเจ้า กับอายุของจักรวาลที่สอดคล้องกันอย่างเหลือเชื่อ

คุณหมอลองเปรียบเทียบอายุของจักรวาลกับ ๖ วันของพระเจ้า
วัน แรกเกิดขึ้นประมาณ ๑๕,๗๕๐-๗,๗๕๐ ล้านปีก่อน ในไบเบิลบอกว่า พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาของการก่อกำเนิดจักรวาลจริง ดาวที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบมีอายุ ๑๖,๐๐๐ ล้านปี ในช่วงนี้เองที่เอกภพเริ่มเย็นลง ทำให้อิเล็กตรอนสามารถจับกับนิวเคลียสอะตอม (atomic nuclei) แล้วก่อให้เกิดแสงขึ้นได้ ตรงกับที่พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง"

วันที่ ๒ เกิดขึ้นประมาณ ๗,๗๓๐-๓,๗๕๐ ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่พระเจ้าทรงสร้าง "ภาคพื้นฟ้า" นักวิทยาศาสตร์พบว่าดวงอาทิตย์ รวมทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือกก่อกำเนิดขึ้นในช่วงนี้พอดี (๔,๖๐๐ ล้านปีที่แล้ว)

วันที่ ๓ เกิดขึ้นประมาณ ๓,๗๕๐-๑,๗๕๐ ล้านปีก่อน พระเจ้าทรงสร้างทะเล แผ่นดินแห้ง เกิดชีวิตและพืช นักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลบนโลกเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้พอดี (๓,๘๐๐ ล้านปีที่แล้ว) และมีการค้นพบฟอสซิลของพวกแบคทีเรียที่เรียกว่า Isosphaera เป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุ ๓,๘๐๐ ล้านปีเช่นกัน

วันที่ ๔ เกิดขึ้นประมาณ ๑,๗๕๐-๗๕๐ ล้านปีก่อน พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดาวสว่างบนฟ้า" นักวิทยาศาสตร์พบว่าลักษณะบรรยากาศของโลกปัจจุบันเริ่มต้นในช่วงนี้พอดี ท้องฟ้าชัดเจนพอที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวได้

วันที่ ๕ เกิดขึ้นประมาณ ๗๕๐-๒๕๐ ล้านปีก่อน พระเจ้าตรัสว่า "น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และนกจงบินไปมา" ช่วงนี้เป็นยุคแคมเบรียนที่สัตว์หลายเซลล์ก่อกำเนิดขึ้น มีการพบฟอสซิลปลาเมื่อ ๕๓๐ ล้านปีก่อน และเกิดสัตว์เลื้อยคลานและแมลงเมื่อ ๓๖๐ ล้านปีก่อน

จนถึงวันที่ ๖ เกิดขึ้นประมาณ ๒๕๐ ล้านปีถึง ๘,๐๐๐ ปีที่แล้ว พระเจ้าตรัสว่า "เกิดสัตว์ใช้งาน และมนุษย์" ในทางวิทยาศาสตร์พบหลักฐานว่า เมื่อ ๒๕๐ ล้านปีก่อนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่


๙๐ เปอร์เซ็นต์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกถูกทำลาย และเป็นโอกาสให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์ได้ก่อกำเนิด ดังนั้นหากเชื่อในพระเจ้าจะพบว่า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ขึ้นมาเลยภายใน ๖ วัน (หรือ ๖ ช่วงเวลา) ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีของดาร์วินที่บอกว่าสิ่งมีชีวิตเริ่มวิวัฒนาการไป เรื่อยๆ เริ่มจากสัตว์เซลล์เดียว สองเซลล์จนสลับซับซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ



คนที่ไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการมักมองว่าวิวัฒนาการมีเรื่องของความบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
ที่ จริงผมตั้งคำถามต่อเรื่องนี้มาก่อนจะเชื่อพระเจ้าแล้ว ทฤษฎีของดาร์วินคือ สิ่งมีชีวิตเกิดมีวิวัฒนาการ และธรรมชาติจะเป็นผู้คัดเลือกเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงให้อยู่รอด อาทิเช่น เดิมมีทั้งยีราฟคอสั้นและคอยาว แต่ยีราฟคอสั้นตายหมดเพราะหาอาหารกินไม่ได้ ผมคิดว่าทฤษฎีวิวัฒนาการยืนอยู่บนพื้นฐานของความบังเอิญมาก กล่าวคือ จู่ๆ เกิดการผ่าเหล่าโดยบังเอิญแล้วได้สิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม ธรรมชาติจะคัดเลือกเอาแต่ตัวที่แข็งแรงให้เหลืออยู่
คำถามคือ เมื่อผมมองดูธรรมชาติ ผมพบว่าธรรมชาติทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด สมบูรณ์แบบด้วยตัวมันเอง ผมถามตนเองว่า จริงหรือที่ความสมบูรณ์แบบนี้เป็นเพียงผลของ "ความบังเอิญ" ร่างกายมนุษย์เราที่สลับซับซ้อนนี้เกิดจากการผ่าเหล่าอย่างสุ่มเท่านั้นจริง หรือ ยิ่งเมื่อมองโอกาสที่จะเป็นไปได้ยิ่งทำให้ตอบคำถามเรื่องนี้ได้ยากยิ่งขึ้น
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มมีส่วนประกอบพื้นฐานเป็นกรดอะมิโน ซึ่งเกิดจากการที่ก๊าซไฮโดรเจน มีเทน น้ำ และแอมโมเนีย รวมตัวกันเป็นกรดอะมิโนขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีก่อน
ประมาณปี ค.ศ. ๑๙๕๓ ฮาโรลด์ ยูเรย์ (Harold Urey) และ สแตนลีย์ มิลเลอร์ (Stanley Miller) ทดลองเอามีเทน น้ำ แอมโมเนีย และไฮโดรเจนใส่ในหลอดทดลองแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปเลียนแบบช่วงเวลาที่โลก ก่อกำเนิด เขาพบว่า ๗-๑๔ วันถัดมา บางส่วนของสารเหล่านี้ กลายเป็นกรดอะมิโนพื้นฐาน ซึ่งพิสูจน์ว่าอินทรียสารเกิดมาจากอนินทรียสาร
แต่ แม้ว่าเป็นไปได้ที่กรดอะมิโนจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีใครรู้ว่ากรดอะมิโนมารวมตัวกันเป็นโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน สำคัญของชีวิตได้อย่างไร และโปรตีนที่จำลองตัวเองได้เกิดได้อย่างไร การทดลองของ โรเบิร์ต เซาเออร์ (Robert Sauer) ได้ทดลอง "สร้าง" โปรตีนใหม่ โดยเอากรดอะมิโนบางตัวออกและใส่ตัวใหม่เข้าไป พบว่าห่วงโซ่ของโปรตีนไม่ยอมรับกันเลย แสดงว่าโปรตีนเป็นเคมีที่มีองค์ประกอบเป็นระเบียบกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่ยอมรับห่วงโซ่แปลกแต่อย่างใด
ในการเกิดสายโปรตีนสักหนึ่งสาย การเรียงตัวของกรดอะมิโนจะต้องถูกต้องแน่นอนเท่านั้นจึงจะได้โปรตีนที่ สามารถฟังก์ชันได้จริงๆ เช่น A-chain ของอินซูลิน เป็นโปรตีนซึ่งมีกรดอะมิโนอยู่เพียง ๒๑ ตัว โอกาสที่กรดอะมิโนจะมาเรียงตัวจนเกิดสายโปรตีนโดยบังเอิญคือ ๑ ใน ๒,๐๙๗,๑๕๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากครับ ถ้าเราดูสายโปรตีนที่ยาวมากในสมองหรือหัวใจ ช่องทางต่างๆ ที่เป็นประตูปิดกั้นประจุ อาทิ sodium channel เป็นประตูที่โซเดียมจะไหลเข้าเซลล์เพื่อก่อกำเนิดไฟฟ้าหัวใจ sodium channel ประกอบด้วยกรดอะมิโน ๑,๐๕๘ ตัว ตำแหน่งต้องเรียงกันอย่างถูกต้องแม่นยำ หากผิดพลาดอาจหมายถึงชีวิต เช่นกรณีโรคไหลตาย* ซึ่งเกิดในชายหนุ่มแข็งแรง นอนหลับแล้วเสียชีวิต โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า ปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยโรคไหลตายเสียชีวิตจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะอย่าง รุนแรง
(ventricular fibrillation) อันเนื่องมาจากความผิดปรกติของ sodium channel จากการผ่าเหล่าของยีน SCN5A
ไม่ เพียงแต่ sodium channel ในหัวใจยังมี potassium channel, calcium channel และแต่ละ channel ยังมี "ซับไทป์" (subtype) ต่างๆ อีก เพื่อควบคุมไฟฟ้าหัวใจได้อย่างถูกต้อง เมื่อประมาณ ๒ ปีที่ผ่านมา มีเด็กคนหนึ่งขึ้นไปรับรางวัล ขณะยื่นมือไปรับด้วยความตื่นเต้น เขาก็ล้มลงและเสียชีวิตทันที เราพบว่าเขาเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปรกติของ potassium channel เรียกว่าโรค long QT syndrome จะเห็นได้ว่าระบบร่างกายของมนุษย์และสัตว์สลับซับซ้อนมาก ทุกระบบต้องทำงานประสานกันอย่างถูกต้องแม่นยำเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
หาก มาดูตัวเลข โอกาสที่กรดอะมิโนจะมารวมกันเป็น sodium channel โดยบังเอิญ ยังมีน้อยกว่าโอกาสที่จะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ต่อเนื่องกัน ๒๒๐ งวดเสียอีก หากเป็นโปรตีนที่จำลองตัวเองได้จะสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นไปกว่านี้มากมาย โรเบิร์ต เซาเออร์ กล่าวว่า โอกาสที่โปรตีนและดีเอ็นเอที่สามารถจำลองตัวเองได้จะเกิดขึ้นโดยบังเอิญนั้น ก็เท่าๆ กับโอกาสที่เราจะเจอลอตเตอรี่ตกอยู่บนถนน และบังเอิญใบนั้นถูกรางวัลที่ ๑ และถูกแบบนี้ทุกอาทิตย์ตลอด ๑,๐๐๐ ปี โดยลอตเตอรี่ทุกใบเราเจอโดยบังเอิญ เมอร์เรย์ อีเดน (Murray Eden) แห่งสถาบันเอ็มไอที (Massachusetts Institute of Technology-MIT) ได้คำนวณถึงความซับซ้อนของโมเลกุลของโปรตีนสรุปว่า การสังเคราะห์โปรตีนอย่างง่ายที่สุดที่เกิดโดยบังเอิญจะเกิดได้ ๑ ครั้งในทุกๆ ๑,๐๐๐ ล้านปี ทำให้ผมรู้สึกว่าเกือบเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์เป็นผลมาจากความบังเอิญ เราถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม หากสังเกตดูจะพบว่าอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์และสัตว์จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ

แต่มนุษย์ก็ยังมีอวัยวะที่หลงเหลือจากวิวัฒนาการในอดีตแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่นไส้ติ่ง
ถ้า ทฤษฎีวิวัฒนาการถูกต้อง เราน่าจะมีอะไรหลงเหลือมาจากบรรพบุรุษอยู่มาก คืออวัยวะที่เชื่อว่าเหลือมาจากบรรพบุรุษแต่ไม่ได้ใช้ แต่ปัจจุบันพบว่าอวัยวะเกือบทั้งหมดถูกใช้งาน อาทิเช่นไส้ติ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอวัยวะที่เหลือมาจากบรรพบุรุษและไม่ได้ใช้งาน จริงๆ แล้วมันมีหน้าที่ พบว่าไส้ติ่งซึ่งอุดมด้วย lymphoid tissue เป็นเสมือนปราการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากลำไส้ใหญ่ย้อนเข้ามาในลำไส้เล็ก หรืออย่างเรื่องหนังหนา มนุษย์เรามีผิวหนังหนาที่ฝ่ามือกับฝ่าเท้าซึ่งเตรียมไว้สำหรับเดิน ความหนาของผิวหนังบริเวณนี้เกิดตั้งแต่มนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา มิได้เกิดจากการใช้งาน นกกระจอกเทศมีหนังหนาช่วงท้องซึ่งเป็นบริเวณที่ทิ้งตัวลงนอน อูฐมีหนังหนาที่เข่าหน้าเพื่อใช้เวลาคู้ตัวหมอบ ส่วนหมูป่าจะหนังหนาที่ข้อเท้าและขาหน้าซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใช้ยันตัวขณะกิน อาหาร
สัตว์ต่างๆ ในโลกล้วนมีหนังหนาเฉพาะบริเวณที่จำเป็นเท่านั้น มันจะไม่มีหนังหนาบริเวณอื่นเลย หากทฤษฎีวิวัฒนาการถูกต้อง สัตว์หลายชนิดน่าจะมีหนังหนาบริเวณที่ไม่จำเป็นบ้าง ซึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของมัน เช่นถ้าเรามาจากหมู เราควรมีหนังหนาที่ข้อเท้าหน้า นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่ชี้ว่าสัตว์แต่ละชนิดได้ถูกออกแบบมาแต่ต้นให้เหมาะสมที่สุด ขณะที่วิวัฒนาการเป็นเรื่องการลองผิดลองถูก ธรรมชาติไม่เคยลองผิดลองถูกเลยครับ "ธรรมชาติ" มุ่งสู่ "เป้าหมาย" อย่างแม่นยำเสมอ ซึ่งอธิบายว่าทำไมสิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนแล้วแต่สมบูรณ์แบบในแบบฉบับของมัน เอง หากพิจารณาเหตุผลเราจะพบว่า การที่ใครสักคนจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ติดต่อกันทุกงวดเป็นเวลา ๑,๐๐๐ ปี ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าที่จะเกิดสัตว์ชั้นต่ำ ๑ ชนิดขึ้นมาบนโลกโดยบังเอิญ
ผมเคยอ่านเจอนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งยก ตัวอย่างเรื่องนี้ไว้ว่า "สมมุติมีลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งอยู่หลังบ้านผม มีคนถามว่าบอลลูกนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ผมตอบว่า ครั้งหนึ่งมีมะพร้าวต้นหนึ่งออกผล แล้วมีลูกมะพร้าวลูกหนึ่งตกลงมา กลิ้งไปใต้ต้นยางพาราพอดี บังเอิญมดมาเจาะลูกมะพร้าวเป็นรู และเกิดลมพัดกิ่งยางพาราหัก ทำให้น้ำยางพาราไหลลงมาในรูมะพร้าวนี้ แล้วมีทรายสีแดงพัดลงไปในรูมะพร้าวผสมกับน้ำยางพารา สุดท้ายมีดินก้อนหนึ่งไปอุดรูนี้พอดี ต่อมาลมพัดจนมะพร้าวตกเหวลงทะเล คลื่นลมในมหาสมุทรทำให้น้ำยางกับทรายสีแดงคลุกเคล้ากัน และความร้อนทำให้ยางจับตัวเป็นลูกบอลในลูกมะพร้าว ต่อมาคลื่นซัดมะพร้าวกระทบหิน เปลือกมะพร้าวแตก ลูกบอล
ข้างในกลิ้งออกมาตามชายหาด สุดท้ายมีเหยี่ยวคาบลูกบอลมาทิ้งไว้หลังบ้านผม"
หากถามว่าเป็นไปได้ไหม คำตอบคือเป็นไปได้ ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด แต่หากถามว่าเชื่อไหม คงไม่มีผู้ใดเชื่อ ระหว่างลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งกับนกตัวหนึ่ง อะไรสลับซับซ้อนกว่ากัน ถ้าไม่เชื่อว่าลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งเกิดขึ้นมาได้เอง แล้วทำไมจึงเชื่อว่านกเกิดมาได้เอง ผมพบว่าหลายครั้งที่ผมเชื่อบางอย่างโดยไม่ใคร่ครวญเหตุผลและโอกาสความเป็นไป ได้ว่ามากน้อยเพียงใด อีกตัวอย่างเช่น หากเราเอานาฬิกาสักเรือนมาถอดกลไกออก แล้วเอาใส่กล่องเขย่าให้มันรวมกลับเข้ามาเป็นนาฬิกาใหม่เหมือนเดิมก็เป็นได้ แต่หากถามว่าเชื่อไหม คงไม่มีผู้ใดเชื่อ เช่นกันครับ เป็นเรื่องยากที่ผมจะเชื่อว่า รหัสดีเอ็นเอซึ่งสลับซับซ้อนกว่ากลไกนาฬิกามากมายจะมาเรียงกันโดยบังเอิญ
ปัจจุบัน พบว่ามนุษย์มีรหัสดีเอ็นเอซึ่งประกอบด้วยคู่เบส (base pair) เพียง ๔ ชนิด คือ A, T, G, C เรียงต่อๆ กัน เช่น ATGGTGCACCTGACTCCTGAGGAGAAGTCTGCGGTTACTGCCCTGTGGGGCAAGGTGAACGTGGATGAAGTTGGTGGT (นี่เป็นรหัสบางส่วนของการสร้างฮีโมโกลบินจากจำนวน ๕๗๖ ตำแหน่ง) เป็นต้น มนุษย์เรามีรหัสแบบนี้ ๓,๐๐๐ ล้านตำแหน่ง ซึ่งต้องถูกต้องแม่นยำมาก หากผิดเพียงตำแหน่งเดียวก็อาจทำให้เป็นโรคร้ายแรงได้ เช่นการผิดจาก A เป็น T ในรหัสการสร้างฮีโมโกลบินเพียงตำแหน่งเดียวจาก ๕๗๖ ตำแหน่ง จะทำให้ร่างกายถอดรหัสกรดอะมิโนตำแหน่งที่ ๖ ในสายโปรตีนฮีโมโกลบินผิด เกิดเป็นโรค Sickle Cell Anemia ขึ้น
จะเห็นว่าความผิดพลาดเพียง ตำแหน่งเดียวยังสามารถส่งผลเสียรุนแรงถึงเพียงนี้ การที่สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจะวิวัฒนาการมาเป็นชั้นสูง มันไม่ใช่แค่การผ่าเหล่าตำแหน่งเดียว แต่ต้องมีการเพิ่มรหัสพันธุกรรมจำนวนมหาศาล สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่ไม่มีปอดจะเติบโตมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีปอด ต้องมีการเพิ่มรหัสพันธุกรรมที่ใช้สร้างปอดเข้าไป มียีนจำนวนมากเพิ่มเข้าไปอีก แบคทีเรียมีรหัสพันธุกรรมเพียงประมาณ ๔.๖ ล้านรหัส ขณะที่มนุษย์มีถึง ๓,๐๐๐ ล้านรหัส จะเห็นได้ว่าต้องมีการ add on รหัสพันธุกรรมจำนวนมากโดยไม่ผิดพลาดเลย แบคทีเรียจึงจะกลายมาเป็นมนุษย์ได้ เฉพาะเรื่องการที่มนุษย์สามารถยืนสองขาตัวตรงก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์แล้ว มนุษย์ต้องมีระบบการทรงตัวที่ดีเยี่ยม เท้าต้องถูกออกแบบเพื่อการยืนและรับแรงกระแทก ต้องมีกลไกควบคุมให้เลือดไปเลี้ยงสมองอย่างคงที่ ต่อมหมวกไตต้องโดนกระตุ้นให้เก็บเกลือได้มากขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการยืน เพื่อให้ปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองได้เท่าเดิม เชิงกรานต้องถูกออกแบบอย่างดี ผู้หญิงจึงสามารถยืนได้และสามารถคลอดบุตรได้ หลายอย่างพอดีหมด ผมได้แต่ถามตนเองว่าของเหล่านี้มันเป็นผลจากความบังเอิญจริงๆ หรือ ผมคิดว่าต้องใช้ความเชื่ออย่างมากๆ ครับที่จะคิดว่าสิ่งที่สมบูรณ์แบบเป็นเพียงเรื่องของความบังเอิญ




ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีวิวัฒนาการมักจะพูดถึงเรื่องของตัวเชื่อม ห่วงโซ่ที่หายไป (missing link)
หาก วิวัฒนาการถูกต้องจริง เราจะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ ไปเรื่อยๆ จากสัตว์ชนิดหนึ่งไปสู่อีกชนิดหนึ่ง เป็น "link" ที่เชื่อมสัตว์ ๒ ชนิดเข้าด้วยกันแต่จนทุกวันนี้เรายังไม่พบตัวเชื่อมดังกล่าวเลย ผู้คนจำนวนหนึ่งยังหวังที่จะพบ "missing link" นี้ ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือของทฤษฎีวิวัฒนาการ
ในปี ๑๙๑๒ ชาร์ลส์ ดอว์สัน (Charles Dawson) ได้พบชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์โบราณที่ Piltdown quarry ในประเทศอังกฤษ โดยส่วนหน้าผากเหมือนมนุษย์ในปัจจุบันขณะที่ขากรรไกรยังเป็นลักษณะของเอป (ape) จึงได้ชื่อว่ามนุษย์ Piltdown (Eoanthropus dawsoni) และถูกประกาศว่าเป็น "missing link" ของมนุษย์กับเอป ถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มาก สนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องลวงโลกแห่งศตวรรษเพราะเบื้องหลังเป็นการทำ เทียมขึ้นมาโดยเอากะโหลกหน้าผากมนุษย์ปัจจุบันไปฝังรวมกับขากรรไกรของลิง อีกครั้งหนึ่ง มีการค้นพบมนุษย์มีฟันซึ่งแปลก น่าจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างเอปกับมนุษย์ อย่างไรก็ตามกลายเป็นเรื่องโกหกอีกเมื่อพบว่าหลักฐานถูกทำปลอมขึ้นจากฟันของ หมู
อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือความเชื่อว่าสัตว์เลื้อยคลานอย่างไดโนเสาร์มีวิวัฒนาการไปเป็นนก เมื่อมีการขุดพบฟอสซิลของ Archaeopteryx ในแคว้นบาวาเรียทางตอนใต้ของเยอรมนี รูปร่างเหมือนสัตว์เลื้อยคลานแต่มีขนแบบนก ในช่วงนั้นเป็นที่โจษจันมากว่าพบการเชื่อมระหว่างนกกับสัตว์เลื้อยคลานแล้ว แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาก็ยังงงว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ มันเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนปีกเหมือนนก หรือเป็นนกที่บินไม่ได้กันแน่ แต่แล้วในปี ๑๙๙๑ มีการค้นพบ Protoavis texensis ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา เป็นสัตว์ขนาดนกยูงที่มีลักษณะเหมือนนกยุคใหม่มาก มันบินได้แน่ๆ คือมีกระดูกไหปลาร้าซึ่งสัตว์เลื้อยคลานไม่มี และมีอายุเก่าแก่กว่า Archaeopteryx ถึง ๗๕ ล้านปี (หากใช้วิธีวัดอายุแบบนักนิยมดาร์วินใช้) แสดงว่า Archaeopteryx ไม่มีทางเป็นบรรพบุรุษของนกยุคใหม่ และ Protoavis texensis ยังชี้ให้เห็นว่านกไม่ได้มาจากสัตว์เลื้อยคลาน แต่มันมีชีวิตอยู่ ในยุคสมัยเดียวกัน หากไปอ่านในไบเบิลจะพบว่าพระเจ้าทรงสร้างนก (รวมถึงสัตว์บินได้เช่นแมลง) และสัตว์เลื้อยคลานขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน
ลอง ดูอีกกรณีศึกษา นักนิยมดาร์วินเห็นพ้องต้องกันว่า ปลาซีลาคานท์ (Coelacanth) น่าจะเป็นบรรพบุรุษของสัตว์บกทั้งมวล ก่อนจะสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๓๕๐ ล้านปีก่อน แต่ซีลาคานท์เป็นปลานักสู้ มันตะกายไปที่ปากแม่น้ำ มีขางอกออกมาขึ้นสู่บกอย่างสมศักดิ์ศรี และให้กำเนิดสัตว์บกรวมถึงมนุษยชาติ การค้นพบฟอสซิลปลาชนิดนี้ นักวิทยาศาสตร์ "เชื่อ" ว่า ครีบของมันน่าจะแข็งแรงพอให้มันคลานไปมาบนแผ่นดินได้และประกาศว่าพบ "ห่วงโซ่ที่หายไป" ต่อมาในปี ๑๙๓๘ ชาวประมงลากอวนที่นอกแหลมกู๊ดโฮป พบปลาหน้าตาประหลาดและพบว่ามันคือปลาซีลาคานท์ ซึ่งเข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปกว่า ๓๕๐ ล้านปีแล้ว เมื่อศึกษาการดำเนินชีวิตของซีลาคานท์พบว่าปลาชนิดนี้อาศัยอยู่ในน้ำลึก ๒๐๐ เมตร เมื่อขึ้นสู่ผิวน้ำมันจะตายเนื่องจากการลดลงของความดัน ซึ่งพิสูจน์ว่ามันขึ้นบกไม่ได้ และมันไม่ได้เดินเกร่ที่ก้นทะเล มันก็ว่ายน้ำเหมือนปลาอื่นๆ นั่นแหละ นอกจากนี้ครีบของมันเมื่อเทียบกับขนาดลำตัวก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าครีบปลาทอง จนจะสามารถกลายเป็นแขนขาของสัตว์บกได้ ซีลาคานท์จึงไม่อาจเป็นห่วงโซ่เชื่อมปลากับสัตว์บกอย่างที่เข้าใจกัน
ที่สำคัญคือซีลาคานท์ปัจจุบันหน้าตาเหมือนฟอสซิลทุกประการ หมายความว่ารูปร่างหน้าตาของมันไม่เปลี่ยนแปลงเลยตลอด ๓๕๐ ล้านปี ซึ่งขัดแย้งกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตต้องมีการผันแปรไป เรื่อยๆ การพบซีลาคานท์ที่มีชีวิตกลับไปสนับสนุนทฤษฎี stability of species คือสิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะรักษาสปีชีส์ของตนเอาไว้ไม่ผันแปรไป การเจอผึ้งที่อยู่ในแท่งอำพันอายุเป็นแสนปีเทียบกับผึ้งปัจจุบัน พบรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ ก็สนับสนุนทฤษฎี stability of species และขัดแย้งอย่างรุนแรงกับทฤษฎีวิวัฒนาการ
แล้วโลมาหรือวาฬก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีวิวัฒนาการจากที่เคยอยู่บนบก ครีบของมันก็คือมือในอดีต
ถ้า สมมุติว่าเราค่อยๆ ลงไปในน้ำและอยู่ในน้ำ ผมเอาลูกผมลงน้ำ หลานผมลงน้ำ ผมเชื่อว่าเหลนผมจะไม่มีครีบคล้ายโลมา หรือจมูกจะไม่เลื่อนไปอยู่ข้างหลังไว้โผล่หายใจ มันเป็นไปไม่ได้ ความคล้ายกันของสิ่งมีชีวิตอาจสะท้อนถึงผู้สร้างคนเดียวกัน ใช้พิมพ์เขียวใกล้เคียงกันสร้างบางอย่างออกมา ดีเอ็นเอหรือพิมพ์เขียวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็มีแบบของมัน ต่างกันเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ไปเป็นครีบแทนที่จะเป็นขา ตรงนี้เป็นห้านิ้วก็เป็นพังผืด สำหรับผมแล้วสิ่งนี้มิได้สะท้อนถึงความบังเอิญ แต่สะท้อนถึงผู้สร้างเป็นคนเดียวกัน
พวกที่ไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการมักมองว่าทฤษฎีวิวัฒนาการสนับสนุนการล่าอาณานิคม
การ ขยายอาณานิคมไปในเอเชีย แอฟริกา รวมทั้งอเมริกา จะต้องมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามการฆ่าคนเป็นข้อห้ามในพระคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าสอนให้มนุษย์เมตตาต่อผู้ที่ด้อยกว่า หญิงม่าย เด็กกำพร้า คนต่างด้าว และผู้ยากไร้ แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการช่วยทำให้การขยายอาณานิคมเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะคนจำนวนหนึ่งถูกทำให้เชื่อว่า ผิวขาวเหนือกว่าผิวดำและผิวเหลือง เผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่รอดได้ จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ ในเรื่องนี้ก็ขัดแย้งกับศาสนาคริสต์อย่างรุนแรงครับ เพราะพระเจ้าสั่งให้ปกป้องดูแลผู้ที่อ่อนแอ ที่จริงแล้วทฤษฎีวิวัฒนาการขัดแย้งกับความเชื่อของศาสนาใหญ่ๆ ไม่ว่าศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮีบรู ฮินดู รวมทั้งศาสนาพุทธด้วย




หลักฐานเรื่องนกฟินช์ที่ดาร์วินพบบนเกาะกาลาปากอส ว่ามีถึง ๑๓ พันธุ์ โดยมีลักษณะบางอย่างแตกต่างกันอันทำให้มันเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มันอาศัย อยู่ ซึ่งดาร์วินคิดว่า นี่คือ "วิวัฒนาการ" จนเกิดนกสายพันธุ์ใหม
คำ ถามที่สำคัญคือ ๑๓ พันธุ์นี้เป็นสปีชีส์ใหม่หรือเป็นสปีชีส์เดิมที่มีการผันแปร เราต้องแยกความสามารถในการปรับตัว (adaptation) กับวิวัฒนาการ (evolution) คนสามารถปรับตัวได้ เช่นคนผิวขาว ถ้าโดนแสงอาทิตย์จัดๆ ผิวก็คล้ำขึ้น นี่ต่างกันมากกับการเกิดสปีชีส์ใหม่ ่
ดาร์วินพบว่านกฟินช์บนเกาะ กาลาปากอสมีจะงอยปากยาวกว่านกฟินช์ที่อื่น ทั้งนี้เพื่อใช้เจาะแมลงใต้เปลือกไม้หนาๆ บนเกาะซึ่งแห้งแล้ง นอกจากนี้ท่านพบว่านกฟินช์อีกหลายพันธุ์มีลักษณะพิเศษบางอย่างที่ทำให้มัน เหมาะสมกับถิ่นอาศัย และดาร์วินคิดว่านี่คือการวิวัฒนาการ อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะเวลาอันยาวนานพบว่า ในปีที่แห้งแล้งจะงอยปากนกฟินช์จะยาว ๑๑ มม. จะไม่สั้นกว่านี้เพื่อมันจะสามารถอยู่รอดได้ แต่ถ้าปีไหนฝนตกหนัก ลูกนกเกิดใหม่จะมีจะงอยปากสั้นลง คือเฉลี่ย ๙ มม. ทั้งที่พ่อแม่ของมันมีจะงอยปากยาว ฉะนั้นการที่บอกว่านกฟินช์จะงอยปากยาวเป็นสปีชีส์ใหม่อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูก ต้องนัก


ในปี ๑๙๘๓ โจนาทาน ไวเนอร์ (Jonathan Weiner) บันทึกว่า "นกฟินช์ตะบองเพชรบนเกาะ Daphne Major พันธุ์สแกนเดนตัวหนึ่งไปเกี้ยวนกฟินช์ฟอร์ทิสตัวเมียตัวหนึ่ง มันผสมพันธุ์กันเกิดลูกมา ๔ ตัว และลูก ๔ ตัวนี้ให้กำเนิดหลานอีก ๔๖ ตัว" เช่นกัน ปีเตอร์และโรสแมรี แกรนต์ (Peter and Rosemary Grant) เข้าไปทำงานบนเกาะนี้กว่า ๑๐ ปี ก็พบการผสมพันธุ์ข้ามกลุ่มให้ลูกนกที่สามารถให้กำเนิดหลานได้

เกิดคำ ถามว่า นกฟินช์ ๑๓ สายพันธุ์ที่เกาะกาลาปากอสซึ่งดาร์วินเข้าใจว่ามีวิวัฒนาการจนเกิดเป็นสปีชี ส์ต่างๆ "อาจ" จะไม่ใช่ก็ได้ เพียงแต่มีลักษณะบางอย่างต่างกัน มันจึงสามารถผสมพันธุ์กันได้และให้กำเนิดลูกหลาน เพราะตามหลักแล้วสัตว์ต่างสปีชีส์ผสมข้ามพันธุ์กัน อย่างม้ากับลาออกมาเป็นล่อ ล่อจะเป็นหมันมีลูกต่อไม่ได้ แต่นกฟินช์ต่างพันธุ์มีลูกที่ให้กำเนิดหลานได้ ดังนั้น การที่ดาร์วินเข้าใจว่านกฟินช์ที่มีรูปร่างและพฤติกรรมที่แตกต่างกันบนเกาะ กาลาปากอสมีการ "วิวัฒนาการ" จนมีสปีชีส์ที่ต่างกันออกไป "อาจ" เป็นเรื่องเข้าใจผิด มันยังคงเป็นสปีชีส์เดียวกัน การที่นกฟินช์ "ไม่ชอบ" ผสมพันธุ์ข้ามกลุ่ม ต่างกันมากกับ "ไม่สามารถ" ผสมพันธุ์กันได้ เช่นสุนัขพูเดิลอาจจะไม่ชอบเลือกลาบราดอร์เป็นคู่ แต่มันสามารถผสมพันธุ์และให้ลูกที่สามารถสืบพันธุ์ต่อไปได้ เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นสปีชีส์ Canis familiaris เหมือนกัน

นัก วิทยาศาสตร์รุ่นหลังซึ่งบันทึกการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฝนกับการเปลี่ยนแปลง ของจะงอยปากนกฟินช์ที่สั้นยาวได้นั้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า microevolution หรือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีพ นักวิวัฒนาการเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อย่าง microevolution นี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เป็น macroevolution หรือวิวัฒนาการจนกลายเป็นสปีชีส์ใหม่ได้ อย่างไรก็ตามไม่เคยพบหลักฐานของ macroevolution และเรื่องนี้ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับทฤษฎี stability of species ซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน

แสดงว่าคุณหมอเชื่อในการปรับตัว (microevolution)
เรื่อง การปรับตัวผมเชื่อครับ การที่สัตว์ต่างๆ มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสิ่ง แวดล้อม ผมกลับมองอีกมุมหนึ่งว่านี่คือการสรรค์สร้างอันยอดเยี่ยมของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตให้มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก แต่มิได้แปลว่าเราจะสามารถวิวัฒนาการเปลี่ยนไปเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เราก็ยังคงเป็นชนิดเดิม

นักวิทยาศาสตร์บอกว่าในช่วงสั้นๆ ไวรัสบางตัวมีวิวัฒนาการแล้ว
แบคทีเรีย บางชนิดดื้อต่อยาปฏิชีวนะ หรือเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ผันแปรตัวเองเพื่อดื้อยาต้านไวรัส เกิดขึ้นได้ครับ แต่หากถามว่ามันได้เปลี่ยนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ มันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตเดิม เพียงแต่สร้างสารบางอย่างได้ ตัวอย่างเช่นเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E. Coli) อาจจะสร้างสารไปทำลายเพนนิซิลลิน (Penicillinase) มันจึงดื้อต่อเพนนิซิลลิน แต่ก็ยังคงเป็นอีโคไลอยู่นั่นเอง มิได้เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่

ไม่เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการ
แล้ว แต่จะเรียกครับ จะเรียกวิวัฒนาการก็ได้ แต่ผมอยากเรียกว่า "การปรับตัว" ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่เท่านั้น เช่นความสามารถในการผันแปรของไวรัสเอชไอวีสูง แต่มันก็ยังเป็นไวรัสเอชไอวีอยู่นั่นเอง ไม่ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงขึ้น ในเรื่องนี้พอไปอ่านไบเบิลผมรู้สึกประทับใจ เนื่องจากเราคงทราบว่าเชื้อเอดส์มาจากลิงชนิดหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าคนไปมีเพศสัมพันธ์กับลิง จากนั้นก็ติดมาถึงคนและแพร่ระบาดจนผู้คนต้องล้มตายมากมาย ไบเบิลได้บันทึกว่า ถ้ามนุษย์มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์เมื่อใด ความวิบัติก็จะมาถึง พระเจ้าห้ามเด็ดขาด ผมตกใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้จึงถูกเขียนไว้ในไบเบิลตั้งนานแล้ว



แสดงว่าคุณหมอไม่เชื่อเรื่องการคัดเลือกของธรรมชาต
ผม เชื่อว่าธรรมชาติมีการคัดเลือก "ตัว" ที่แข็งแรง แต่ไม่ใช่ "เผ่าพันธุ์" ที่แข็งแรง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าถ้าเราเชื่อแบบนั้นจนหมดก็น่าคิดเหมือนกัน อาทิเราเป็นหมอ เราเห็นเด็กคนหนึ่งเกิดมาอ่อนแอ เราควรรักษาเขาหรือไม่ ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีคนเสนอความคิดนี้ออกมาว่า หากเราพยายามรักษาเด็กที่มียีนด้อย ถ้าเขาโตขึ้นเขาจะแพร่ยีนด้อยให้แก่ลูกหลาน และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ดังนั้นควรปล่อยให้ทารกที่อ่อนแอตายไปเสีย ถ้าเราเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการแล้วเราทำตาม ก็ไม่ต้องรักษา ปล่อยให้เสียชีวิตไป แต่ในความเป็นจริงเราคงทำไม่ได้ บางทีเราต้องยอมรับว่าสัตว์ตัวที่เกิดมาอ่อนแอ พ่อแม่อาจจะทิ้งให้ตายก็ตาม หากนั่นเป็นสัตว์ เขามีกลไกของเขา แต่มนุษย์แตกต่างออกไปมาก ผมเองเชื่อว่า ชีวิตเป็น "ของขวัญ" จากพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตได้ เด็กๆ ทุกคนเกิดมา ไม่ว่าเขาจะแข็งแรงหรืออ่อนแอ ไม่ว่าเขาจะเกิดมาด้วยความตั้งใจของผู้เป็นพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม ล้วนมีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าิ

มีคนจำนวนหนึ่งบอกว่า คนกับลิงมีดีเอ็นเอใกล้เคียงกันมาก ผมเองยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น คนกับลิงชิมแปนซีมีดีเอ็นเอต่างกัน ๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก ๙๕ เปอร์เซ็นต์ซ้ำกัน แต่ต้องไม่ลืมว่านั่นคือ ๕ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนดีเอ็นเอ ๓,๐๐๐ ล้านตำแหน่ง มันหมายถึง ๑๕๐ ล้านตำแหน่งที่ต่างกัน ซึ่งบังเอิญยากครับ สมมุติมีคนบอกว่า เด็กคนหนึ่งทำข้อสอบที่มีตัวเลือก ๔ ตัวเลือก ถูกหมดทั้ง ๑๕๐ ล้านข้อโดยอาศัยการเดาสุ่ม คงไม่มีผู้ใดเชื่อใช่ไหมครับ

ในเรื่องนี้ผมมีความเห็นตรงข้ามครับ เหมือนการประดิษฐ์รถยนต์ สมัยก่อนอาจจะมี ๒ สูบ ต่อมา ๔ สูบ เดิมต้องใช้มือหมุนในการติดเครื่อง ต่อมาใช้แบตเตอรี่สตาร์ตแทน ถามว่าสิ่งนี้คือวิวัฒนาการหรือเปล่า คงไม่ใช่ ลองดูรถฟอร์ดรุ่นแรกสุดกับรุ่นถัดๆ มา ไม่ว่าจะเป็นฟอร์ดทันเดอร์เบิร์ด ฟอร์ดมัสแตง จะพบว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบรถให้ดีขึ้น แต่ก็ยังคงความใกล้เคียงกันอยู่เพราะเป็นทีมวิศวกรของฟอร์ดออกแบบ เช่นกันครับ ผมมองว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ส่วนหนึ่งนั้นสะท้อนถึงผู้สร้างเป็นคนเดียวกัน ซึ่งผมเชื่อว่าผู้นั้นคือองค์พระเจ้าครับ

เรื่องอายุของโลก ถ้าเชื่อว่าโลกอายุไม่เกินหมื่นปี ไดโนเสาร์อายุ ๖๐ กว่าล้านปีนี่ก็ไม่จริง
เรา ต้องทราบก่อนว่าการคาดคะเนอายุไดโนเสาร์อยู่บนพื้นฐานอะไร อายุของฟอสซิลบอกได้จากชั้นหิน โดยอาศัยหลักวิชาที่เรียกว่า Stratigraphy โดยกำหนดว่าการตกตะกอนอยู่ที่ ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี อายุของไดโนเสาร์ถูกกำหนดจากความลึกของการขุดนี้เอง ดังนั้น หากขุดพบซากที่ระดับความลึก ๑๕,๐๐๐ เมตร ซากนั้นก็น่าจะมีอายุ ๗๕ ล้านปี เป็นต้น แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากการคาดคะเนครับ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วตะกอนตกในอัตราเท่าไร

ที่น่าสนใจคือ นักวิทยาศาสตร์กำหนดให้ยุคพรีแคมเบรียน แคมเบรียน ไซลูเรียน จูแรสสิก และยุคอื่นๆ การตกตะกอนไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย คือ ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งแท้จริงแล้วด้วยอัตรานี้จะมีปัญหามาก หากเราจะกลบฝังไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่อย่าง แบรคคิโอซอรัส ด้วยอัตราการสะสมตะกอน ๐.๒ มิลลิเมตรต่อปี เป็นไปไม่ได้ ไดโนเสาร์ตัวนั้นจะถูกทำลายโดยสัตว์กินซากเสียก่อน

การ กลบไดโนเสาร์ทั้งตัวให้อยู่ในสภาวะฟอสซิลต้องเร็วกว่านี้มากมาย มีการขุดพบต้นไม้ต้นหนึ่งที่กลายเป็นถ่านหินสูง ๔๐ ฟุต ซึ่งตั้งแสดงอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์ที่ลอนดอน ต้นไม้ต้นนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าการกลบฝังน่าจะเกิดขึ้นอย่างทันที ทันใด ไม่อย่างนั้นด้านบนต้องเน่าเปื่อยไปเสียก่อน ถ้าเราคำนวณการฝังต้นไม้สูงขนาดนี้ภายในปีเดียว แสดงว่า Stratigraphy ที่เราใช้คำนวณ คำนวณผิดไป ๖ หมื่นเท่าจาก ๐.๒ มม. ต่อปีเป็น ๔๐ ฟุตต่อปี ซึ่งแปลว่าเราอาจคะเนอายุไดโนเสาร์ผิดไป ๖ หมื่นเท่าของความเป็นจริง ที่บอกว่าอายุไดโนเสาร์ ๖๐ ล้านปีเป็นวิธีการคะเนเท่านั้น

คุณหมอเชื่อว่าไดโนเสาร์อายุเท่าไร
ผม เองยอมรับว่าไม่แน่ใจครับ ก่อนหน้านี้ผมเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าไดโนเสาร์มีอายุหลายร้อยล้านปี แต่ปัจจุบันนี้ผมเปิดใจกว้างขึ้นว่าอาจไม่เก่าแก่ขนาดนั้น เมื่อได้ศึกษาถึงเบื้องหลังการคะเนอายุไดโนเสาร์ อายุของโลกก็เช่นกัน ถูกคะเนโดยการสลายตัวของยูเรเนียมเป็นตะกั่ว และการสลายตัวของโพแทสเซียมเป็นอาร์กอน หลักการ "เชื่อ" ว่า ตะกั่ว ๒๐๖ ได้มาจากการสลายตัวของยูเรเนียม ๒๓๘ เท่านั้น และยูเรเนียม ๒๓๘ มีค่าครึ่งชีวิต ๔,๕๐๐ ล้านปี หากเราพบแหล่งหินหนึ่งซึ่งประกอบด้วยยูเรเนียม ๒๓๘ ครึ่งหนึ่ง และตะกั่ว ๒๐๖ อีกครึ่งหนึ่ง ก็น่าจะบอกได้ว่าหินก้อนนั้นมีอายุ ๔,๕๐๐ ล้านปี ซึ่งบังเอิญเท่ากับอายุโลกพอดี

วิธีนี้จะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ ว่า เริ่มต้นมียูเรเนียม ๒๓๘ เท่าไร และมีตะกั่ว ๒๐๖ เท่าไร สิ่งเดียวที่เรารู้คืออัตราการสลาย นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมุติฐานว่า โลกเมื่อเริ่มแรกนั้นไม่มีตะกั่ว ๒๐๖ อยู่เลย เป็นยูเรเนียม ๒๓๘ ทั้งหมด นี่เป็นการคาดคะเนทั้งหมดที่อาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะการสลายยูเรเนียมมาเป็นตะกั่วยังให้ฮีเลียมด้วย เมลวิน คุก (Melvin Cook) ได้คำนวณว่า หากโลกมีอายุ ๔,๕๐๐ ล้านปีจริง การสลายยูเรเนียมจะก่อให้เกิดฮีเลียมในบรรยากาศ ๑๐,๐๐๐ พันล้านตัน แต่ในความเป็นจริงเราพบเพียง ๓.๕ พันล้านตัน หากใช้วิธีนี้คำนวณโลกจะมีอายุเพียง ๑๗๕,๐๐๐ ปี มันตอบคำถามไม่ได้ว่าถ้าโลกมีอายุยาวนานขนาดนั้นจริง ฮีเลียมหายไปไหนมากมาย มีหลายอย่างแย้งกันเอง นักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อดาร์วินก็จะเลือกเชื่อมุมที่เข้าได้กับทฤษฎีของเขา แต่ไม่ตอบเรื่องฮีเลียมหรือเรื่องการกลบฝังไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ยินดีที่จะใช้วิธีอะไรก็ได้ที่ทำให้ไดโนเสาร์และโลกมีอายุ เก่าแก่ เพราะหากโลกและไดโนเสาร์มีอายุน้อย มันหมายถึงความล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผมไม่เชื่อว่าโลกเก่าแก่ เพียงแต่วิธีวัดอายุโลกยังมีช่องโหว่บางเรื่อง และแม้โลกเก่าแก่จริงก็มิได้หมายความว่าทฤษฎีวิวัฒนาการจะถูกต้อง

ที่ น่าสนใจคือ ดังที่กล่าวไปแล้ว สิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ปรากฏขึ้นบนโลกคือ Isosphaera เกิดเมื่อ ๓,๘๐๐ ล้านปีที่แล้ว พร้อมๆ กับการกำเนิดทะเลเมื่อ ๓,๘๐๐ ล้านปีก่อน ดูเหมือนว่าทันทีที่สิ่งแวดล้อมของโลกจะเกื้อกูลชีวิตได้ก็เกิดชีวิตขึ้น ทันทีโดยไม่รอความบังเอิญเลย

นักชีววิทยาบอกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเสาหลักของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ คุณหมอเห็นด้วยไหม
ผม ยอมรับว่าศาสนจักรในอดีตใจแคบมาก เช่นการเอาผิดกับกาลิเลโอ ทั้งนี้ทั้งนั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อศาสนจักร การที่กาลิเลโอบอกว่าโลกกลม แล้วไบเบิลกล่าวว่าโลกแบนหรือ คำตอบคือไม่ใช่ครับ แท้จริงไบเบิลบันทึกว่าโลกกลม โดยกล่าวว่า "พระเจ้าประทับอยู่บนขอบโค้งของโลก" (He sits enthroned above the circle of the earth) เขียนไว้ในพระธรรมอิสยาห์บทที่ ๔๐ ข้อ ๒๒ บันทึกไว้ประมาณ ๘๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ความเก่าแก่ของไบเบิลทำให้หลายคนเข้าใจว่าไบเบิลล้าหลัง เมื่อผมศึกษาจริงๆ กลับพบสิ่งที่ตรงกันข้าม

หากอ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าแนวคิดโลกแบน มาจากพวกอริสโตเติลซึ่งอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูง ศาสนจักรรับความคิดนี้เข้ามา ไบเบิลไม่เคยกล่าวว่าโลกแบน ตรงกันข้าม ไบเบิลบันทึกมานานมากแล้วว่าโลกกลม นอกจากนี้เราทราบว่าโลกเราลอยอยู่กลางอวกาศเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา แต่ในไบเบิลเขียนไว้ชัดเจนนะครับว่า "พระเจ้าทรงแขวนโลกไว้เหนือที่ว่างเปล่า" (He suspended the earth over nothing. Job ๒๖:๗) จากพระธรรมโยบซึ่งมีอายุกว่า ๓,๐๐๐ ปี เพียงแต่คนโบราณไม่สามารถเข้าใจได้

ผมคิดว่าไบเบิลมีหลักฐานรองรับ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ขณะที่ทฤษฎีวิวัฒนาการต้องใช้ความเชื่อมากๆ วิวัฒนาการที่เราเดาว่าอันนี้เปลี่ยนมาจากอีกตัวหนึ่ง ทั้งที่เราไม่เคยเจอตัวเชื่อมเลย ฟอสซิลต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าไดโนเสาร์ส่วนหนึ่งอยู่ๆ เกิดขึ้นมาแล้ววันหนึ่งมันก็หายไป ไม่มีลูกหลานของมัน ไม่มีตัวใกล้เคียง ไทรเซอราทอปส์ มีสามเขา เราพบมันอย่างนั้น สเตโกซอรัส เราก็เจอมันอย่างนั้น เราพบมันเป็นฟอสซิลโดดๆ มันเกิดมาแล้วหายไป แต่ไม่เคยเจอตัวเชื่อมเลย



ธรรมชาติ ทุกชนิดจะมุ่งไปสู่จุดสุดยอดของมันเสมอ เหตุใดจึงเชื่อว่าเกิดจากความบังเอิญ เช่นวันหนึ่งเราเจอรูปวาดรูปหนึ่งตกอยู่ เราจะเชื่อว่าสีมันหกตกลงไปโดนเอง หรือเชื่อว่ามีผู้วาดมันขึ้น เช่นกัน โลกของเรา จักรวาลทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งปวง ทั้งหมดนี้เป็นผลของความบังเอิญจริงๆ หรือ เป็นเพียงผลพวงจากการระเบิดหรือบิ๊กแบงครั้งหนึ่งจริงๆ หรือ ผมคิดว่าต้องใช้ความเชื่อเยอะมากจริงๆ ครับ

ผมพบว่าโลกของเราถูกออก แบบมายอดเยี่ยมเพื่อเกื้อกูลชีวิต ตัวอย่างเช่น ขนาดของโลกใหญ่กว่านี้ได้ไหม ผมว่าไม่ได้นะครับ หากโลกใหญ่กว่านี้มากๆ แรงโน้มถ่วงมหาศาลจะทำให้ภูเขารับน้ำหนักตัวเองไม่ได้ มันจะแบนราบ โลกจะเป็น "water world" หรือไม่ก็ไม่มีมหาสมุทรขนาดใหญ่เลย ดวงอาทิตย์ใหญ่กว่านี้ได้ไหม คิดว่าไม่ได้นะครับ ถ้าใหญ่กว่านี้ปฏิกิริยานิวเคลียร์จะไม่เสถียร ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตในดาวบริวาร ดวงอาทิตย์เล็กกว่านี้ได้ไหม ความร้อนก็จะไม่พอ โลกต้องแลกด้วยการเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น เมื่อเข้าใกล้การหมุนรอบตัวเองก็จะช้าลง เมื่อหมุนช้าลงอุณหภูมิกลางวันกับกลางคืนจะต่างกันอย่างรุนแรง ดาวฤกษ์ที่จะ support life ได้ ต้องเป็นดาวแคระเหลือง (yellow dwarf) ประเภท G2 อย่างเช่นดวงอาทิตย์ของเรา ซึ่งมวล อายุของดาว สเปกตรัมของแสงเหมาะแก่ชีวิตบนดาวบริวาร

การเคลื่อนไหวของเหล็กใต้โลก เปรียบเสมือนไดนาโมขนาดยักษ์ เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กโลกเกิดเป็น "Van Allen ring" ปกป้องโลกจากลมสุริยะ ไม่เช่นนั้นบรรยากาศจะถูกทำลายจนหมด นี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโลก แกนของดาวอังคารมีกำมะถันปนมากเกินไป ทำให้เหล็กไม่บริสุทธิ์พอที่จะสร้างสนามแม่เหล็กที่ "well organized" ขึ้นมาได้ โลกยังมี plate tectonic เพื่อสร้างภูเขาและมหาสมุทร มี earth�s albedo เพื่อควบคุมอุณหภูมิ มีดวงจันทร์ที่มีขนาดพอดี เพื่อเกื้อกูลชีวิต นี่เป็นตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้นที่ชี้ให้เห็นว่า โลกถูกสร้างมาเพื่อสิ่งมีชีวิตจริงๆ

ในปี ๑๙๙๔ ดาวหาง Shoemaker-levy 9 พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสบดีและก่อให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หากไม่มีดาวพฤหัสก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะพุ่งชนโลก ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงระเบิดเท่ากับ TNT ๖ หมื่นถึง ๑.๒ แสนล้านตัน นับเป็นโชคดี ? ที่ระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ ได้แก่ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์อยู่ในวงโคจรรอบนอก แรงดึงดูดมหาศาลของมันได้คอยปกป้องโลกของเราไว้ หากปราศจากดาวเคราะห์ทั้งสอง โอกาสที่โลกจะถูกชนจะเกิดขึ้นทุกหมื่นปี ซึ่งชีวิตจะก่อกำเนิดไม่ได้

ผมมองว่าทั้งชีวิตบนโลก รวมถึงโลกและระบบสุริยะที่เกื้อกูลชีวิตนี้ ถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบเกินกว่าที่จะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงผลของ "ความบังเอิญ" ครับ




คุณหมอเป็นนักวิทยาศาสตร์ อ่านข้อมูลใหม่ๆ มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนไบเบิลไหมครับ
เยอะ มากครับ เช่น ไบเบิลสั่งว่าพี่น้องห้ามแต่งงานกัน ปัจจุบันพบว่าจริงครับ เพราะโอกาสได้ยีนด้อยสูง ไบเบิลสั่งว่าคนต้องล้างมือหากไปแตะต้องศพ เมื่ออ่านประวัติศาสตร์จะพบว่าน่าตกใจ คือเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีที่ผ่านมา เมื่อแพทย์ทำคลอด มารดาจะตายมากกว่าพยาบาลทำคลอดหลายเท่าตัว อัตราการสูญเสียมารดาที่ทำคลอดโดยแพทย์ในสมัยนั้นอาจสูงถึง ๑ ใน ๖ ทั้งนี้เป็นเพราะนักเรียนแพทย์ต้องผ่าศพแล้วมาทำคลอดโดยไม่ได้ล้างมือ คนสมัยโบราณไม่ทราบว่าการแตะต้องศพจะนำเชื้อโรคมาได้ ราวปี ๑๘๒๐ คุณหมอท่านหนึ่งแนะนำให้แพทย์ใช้คลอรีนล้างมือก่อนทำคลอด ปรากฏว่าคุณหมอท่านนั้นถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากแพทย์ท่านอื่น ทั้งที่มันได้ผลจริง เพราะการแพทย์สมัยนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจุลชีพและการป้องกันการ ติดเชื้อ กว่ามนุษย์จะมีความรู้เรื่องแบคทีเรียต้องรอผลงานของท่านปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ประมาณปี ๑๘๘๐ ประเด็นที่น่าสนใจคือ มนุษย์เพิ่งทราบเรื่องนี้ไม่นาน แต่ไบเบิลสอนมานานแล้วว่าเมื่อแตะต้องศพต้องล้างมือ ไบเบิลสอนอะไรที่เป็นศาสตร์ใหม่มาก แต่เราไม่ทราบเหตุผล เช่นไบเบิลบอกว่าคนยิวต้องขริบ โดยกำหนดให้ทำในวันที่ ๘ หลังคลอด เราพบไม่นานมานี้ว่าวิตามินเคซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการแข็งตัวของเลือดจะสูง ขึ้นสู่ระดับที่ปลอดภัยเมื่อเด็กอายุได้ ๘ วัน ดังนั้นหากขริบทันทีวันแรกหลังคลอด อาจมีเลือดออกรุนแรงได้

เรื่อง ของการล้างมือ เรื่องของโลกกลม โลกลอยอยู่กลางอวกาศ มีบันทึกไว้นานแล้ว เพียงแต่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ นอกจากนี้ไบเบิลยังกล่าวว่า มนุษย์ทั้งโลกสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่เดียว คืออดัมและเอวา ซึ่งผมเองก็ตั้งคำถามในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สเปนเซอร์ เวลส์ (Spencer Wells) ได้เดินทางไปทั่วโลกและเก็บตัวอย่างเลือดจากหลายชนเผ่า อาทิ อะบอริจินในออสเตรเลีย, ชุกชีในทุนดรา ไซบีเรีย, ชาวหุบเขาในอัฟกานิสถาน, นอมาดในทะเลทรายแอฟริกา และที่อื่นๆ ทั่วโลก และโดยการศึกษาดูความสัมพันธ์ของ Y chromosome สามารถยืนยันว่าผู้ชายในโลกนี้มีบรรพบุรุษร่วมกันเพียงหนึ่งเดียว รวมถึงการศึกษา mitochondrial X chromosome ก็ยืนยันว่าผู้หญิงทั้งโลกมีบรรพบุรุษร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน การศึกษาของ เฮย์, เจ. และเมย์นาร์ด สมิท (Haigh, J. and Maynard Smith) ค้นพบสิ่งเดียวกัน มนุษย์ทั้งโลกมาจากพ่อแม่คู่เดียว

ไม่เพียงเรื่อง ทางการแพทย์ แต่ยังรวมถึงฟิสิกส์ยุคใหม่ เรื่องของทฤษฎีสัมพัทธภาพ พระเจ้าตรัสว่า พันปีในสายตามนุษย์เท่ากับ ๑ วันของเราเท่านั้นเอง เขียนไว้ในพระธรรมสดุดี "เวลา" ของพระเจ้ากับของเรานั้นต่างกัน ตามทฤษฎีของไอน์สไตน์ เวลาของแต่ละคนไหลไม่เท่ากัน ขึ้นกับว่าเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าไร และเราอยู่ในสนามแรงโน้มถ่วงอะไร อีกกรณีหนึ่งซึ่งผมประหลาดใจมาก คือเรื่องที่ไบเบิลเขียนว่า "พระเจ้าดำรงอยู่ก่อนการกำเนิดเวลา" (...before the beginning of time) ตอนเด็กๆ ผมคิดว่า "เวลา" มีมาแต่ไหนแต่ไร และจะมีไปเรื่อยๆ แต่ความจริงไม่ใช่ "เวลา" มีจุดกำเนิดโดยก่อกำเนิดพร้อมกับบิ๊กแบง ก่อนหน้าการกำเนิดเวลาไม่มีเวลา และพระเจ้าเป็นผู้เดียวที่กล่าวว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนหน้าการกำเนิดเวลา

แต่ละวันที่วงการโบราณคดี เจริญก้าวหน้าขึ้น ทำให้ไบเบิลได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้าปี ๑๘๕๐ ผู้คนรู้จักอัสซีเรียจากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี ๒ ท่าน คือ ออสติน เฮนรี ลายาร์ด (Austen Henry Layard) และ ฮอร์มุซด์ รัสสัม (Hormuzd Rassam) ผู้เผยวันเวลาที่หายไปของชาวอัสซีเรียกลับมาให้ชาวโลกได้ประจักษ์ และเมือง Ur อันเก่าแก่ถูกค้นพบในปี ๑๙๑๒ หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า ๖,๕๐๐ ปี ในช่วงเวลานี้มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur การขุดค้นเมืองเจริโคเมื่อไม่นานมานี้ (ค.ศ. ๑๙๓๐) พบว่ากำแพงเมืองที่แข็งแรงและหนามากของเมืองได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระ คัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ยังพบธัญพืชจำนวนมากบรรจุอยู่ในภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่าเมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า เจริโคถูกล้อมอยู่เพียง ๗ วัน และชาวอิสราเอลที่เอาชนะชาวเมืองนี้ได้ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหารและเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อการเพาะปลูกในปีต่อๆ ไป)

มี การใช้เรือดำน้ำลงไปในทะเลแดง และพบซากรถม้าศึกของอียิปต์จมอยู่เต็มไปหมด ตรงตำแหน่งที่โมเสสข้ามทะเลแดงเมื่อกว่า ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ไบเบิลอีกตอนหนึ่งกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงให้กำมะถันและไฟตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและโกโมราห์ พระเจ้าทรงเผาเมืองบาปทั้งสองนี้ด้วยไฟกำมะถัน เมื่อเร็วๆ นี้นักโบราณคดีไปขุดพบเมืองโบราณแถบทะเลสาบเดดซีใกล้กับภูเขามาซาดาและภูเขา โสโดม ทั้งเมืองเป็นขี้เถ้าหมด เครื่องประดับโลหะระเหิดเป็นไอติดอยู่ตามผนัง และยังพบก้อนกำมะถันที่มีความบริสุทธิ์ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ Sulpher ball นี้ถือเป็น "unique" เพราะไม่พบที่อื่นอีกเลยในโลก กำมะถันที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ต้องใช้ไฟถลุงที่ ๕,๐๐๐ องศา แม้แต่เตาถลุงที่ดีที่สุดก็ไม่อาจทนความร้อนขนาดนี้ได้ ไม่มีผู้ใดทราบว่าอะไรตกใส่โสโดมและโกโมราห์ แต่ต้องเป็นไฟที่รุนแรงมาก ผมพบว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง




อะไรคือแรงบันดาลใจให้คุณหมอมานับถือศาสนาคริสต์
ผมเฝ้าถามตนเองว่า ชีวิตต้องการอะไรกันแน่ ความที่ตนเองโชคดีพอมีฐานะบ้างและได้รับการยอมรับ ผมกลับพบว่าอะไรบางอย่างหายไปในชีวิตของผม ผมมีบ้าน มีอาชีพ มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนๆ ที่น่ารัก และการยอมรับทางสังคม แต่ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าอะไรหายไป นอกจากนี้ เนื่องจากเป็นหมอโรคหัวใจ ผมได้เห็นวาระสุดท้ายของชีวิตบ่อยๆ ผมพบว่าบุคคลที่ยิ่งประสบความสำเร็จในโลกมากยิ่งทุรนทุรายต่อความตาย ผมถามตนเองว่า วันหนึ่งผมต้องมาติดอยู่ในเครื่องช่วยหายใจ แล้วผมจะถืออะไรในมือที่มั่นใจได้ว่าจะเผชิญวาระสุดท้ายอย่างสงบ และผ่านไปอีกโลกด้วยความมั่นใจ ผมเชื่อเสมอมาว่า ชีวิตคนเราไม่ได้จบลงที่ความตาย

ผมไปโบสถ์ครั้งแรกเพราะได้พบเพื่อน คนหนึ่งที่นับถือคริสต์ ความรู้สึกแรกคือคิดว่า ทำไมเขาจึงงมงายถึงเพียงนี้ทั้งที่มีความรู้สูง แต่บางสิ่งในใจบอกผมว่า ก่อนที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่จริงก็ควรศึกษาก่อน ผมยังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ดี คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าจะไปโบสถ์ท่านก็ไม่ได้ทัดทานและยังกำชับให้แต่งตัวอย่าง ดี เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นนักเรียนอังกฤษและคนอังกฤษในสมัยนั้นจะแต่งตัวดี ที่สุดเพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ในวันนั้นนอกจากผมแล้วยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเราสองคนต่างกันอย่างมากมาย อย่างไรก็ตามผู้ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ในวันนั้นได้ต้อนรับเราทั้ง สองอย่างเท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน ซึ่งผมประทับใจมาก อย่างน้อยคนของพระเจ้าก็ไม่ได้มองคนที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง

ตอนไปโบสถ์แรกๆ ตอบตามตรงว่าไปจับผิดเขา เพราะรู้สึกว่าพวกคริสต์เป็นคนน่ารักแต่เข้าใจผิดหลายเรื่อง เลยไปขอไบเบิลมาอ่านเพื่อจะจับผิด แต่พอยิ่งอ่านยิ่งพบว่าไบเบิลมีความแม่นยำในหลายด้านสูงมากจนผมมิอาจปฏิเสธ ได้ ดังเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ผมพบว่าลักษณะการเขียนไบเบิลก็น่ามหัศจรรย์มากเช่นกัน เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีก่อน มีอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ท่านหนึ่งชื่อ อีวาน ปานิน (Ivan Panin) เขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า และได้ศึกษารวมถึงทดสอบไบเบิลเพื่อจับผิด ปานินพบว่า บางตอนของไบเบิลมีบางอย่างแปลกๆ เขาจึงถอดรหัสออกมาเป็นคณิตศาสตร์ พระคัมภีร์เก่าถูกบันทึกเป็นภาษาฮีบรู ซึ่งภาษาฮีบรูนั้นตัวอักษรใช้แทนตัวเลขด้วย เรียกว่า numeric value (เช่นเดียวกับภาษาโรมัน I = ๑, V = ๕, X = ๑๐ เป็นต้น) และเขาพบความมหัศจรรย์ทางคณิตศาสตร์ของไบเบิล เช่น

เฉพาะประโยคแรก ของไบเบิลในภาษาฮีบรูประกอบด้วยคำ ๗ คำ, อักขระ ๒๘ ตัว (๔ x ๗), คำนาม ๓ คำ มีอักขระ ๑๔ ตัว, ค่า numeric value ของคำนามทั้งสาม คือ ๗๗๗ (๑๑๑ x ๗), ค่า numeric value ของอักษรตัวแรกและตัวท้ายของทั้ง ๗ คำเท่ากับ ๑,๓๙๓ (๑๙๙ x ๗) และการคำนวณแบบอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเลข ๗ ทั้งหมด ๒๑ แบบ เฉพาะประโยคแรกของไบเบิล (เลข ๗ เป็นเลขของพระเจ้า)

ไม่เพียงเท่านี้ ปานินทดสอบไบเบิลทั้งเล่มก็พบความสอดคล้องกันทางคณิตศาสตร์อย่างน่าอัศจรรย์ เช่นหากกล่าวถึงพระเจ้าจะเป็นเลข ๗ หากพูดถึงความชั่วร้ายเป็นเลข ๑๓ และเมื่อพูดเรื่องความสมบูรณ์แบบและความรอดจะเป็นเลข ๘ เป็นต้น

จำนวน คำทั้งหมดในไบเบิล ชื่อของผู้ที่บันทึกไบเบิล บุคคลที่ถูกกล่าวถึงก็สอดคล้องกันทางคณิตศาสตร์ จากคนที่ต่อต้านพระเจ้า ปานินกลับกลายเป็นผู้ศรัทธา และผลงานตีพิมพ์ของท่านถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากนักคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ดและชิคาโก ปานินกล่าวว่า ยินดีให้ถอดข้อเขียนของท่านออกถ้า พิสูจน์ได้ว่าข้อเขียนเหล่านั้นผิด ซึ่งแม้จะมีผู้โจมตีปานินอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อเขียนของท่านผิด

ปานินได้ทดลองให้ "หัวกะทิ" เหล่านี้สร้างประโยคที่มีคุณสมบัติเหมือนในไบเบิลตอนปฐมกาลบทที่ ๑ ข้อ ๑ ซึ่งแม้พยายามเท่าใดก็ไม่มีผู้ใดสร้างประโยคที่มีคุณสมบัติแบบประโยคแรกของ ไบเบิลได้ แม้จะใช้ภาษาอังกฤษซึ่งมีความหลากหลายมากกว่าภาษาฮีบรูก็ตาม

นอก จากเรื่องคณิตศาสตร์ ไบเบิลยังถูกใส่รหัสไว้ด้วย วันที่ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๙๔ เชม กูรี (Chaim Guri) ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรียิตซัก ราบิน เตือนท่านเกี่ยวกับการปองร้าย ข้อมูลนี้ได้มาจากการถอดรหัสไบเบิลซึ่งถูกค้นพบโดย เอลียาฮู ริปส์ (Eliyahu Rips) นักคณิตศาสตร์และควอนตัมฟิสิกส์แห่งมหาวิทยาลัยเยล ในขณะนั้นราบินมิได้สนใจคำเตือนของ เอลียาฮู ริปส์ แต่แล้วคำเตือนล่วงหน้ากว่า ๓,๐๐๐ ปีก็เป็นจริง ราบินถูกสังหารโดยชาวอิสราเอลซึ่งไม่ปรารถนาจะปรองดองกับชาวอาหรับ ในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๕ ณ กรุงเทลอาวีฟ

รหัสไบเบิลถูกค้นพบ โดยบังเอิญตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๔ ในพระธรรมโตราห์ (Torah) ซึ่งพบว่า เมื่ออ่านเว้นทุกๆ ๗ ตัวอักษรจะได้ข้อความบางอย่าง เมื่อถึงยุคของคอมพิวเตอร์ทำให้ถอดรหัสได้มากมาย โดยอ่านเว้นตั้งแต่ ๒-๒,๐๐๐ ตัวอักษร อ่านไปข้างหน้าก็ได้ ย้อนหลังก็ได้ หรืออ่านเว้นแบบอนุกรมก็ได้ จะพบข้อความต่างๆ มากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต แห่งอียิปต์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรื่องไวรัสเอดส์ รวมไปถึงเหตุการณ์ ๙/๑๑ และแม้แต่สึนามิในเอเชีย อย่างไรก็ตามมีผู้แย้งว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้

เรื่อง น่าตื่นเต้นอีกเรื่องหนึ่งคือการพยากรณ์ว่าอิสราเอลจะตั้งประเทศใหม่ได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก เพราะอิสราเอลสูญชาติไปตั้งแต่ ค.ศ. ๗๐-๗๓ เมื่อกองทัพโรมันตีเยรูซาเลมแตก แล้วชาวอิสราเอลก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก อย่างไรก็ตามพวกเขายึดมั่นในพันธสัญญาที่ว่า พระเจ้าจะพาชาวยิวกลับมายังดินแดนคานาอันอีกครั้ง เรื่องนี้ถูกซ่อนในพระธรรม Ezekial ว่า พระเจ้าจะลงโทษอิสราเอลเป็นเวลา ๙๐๗,๒๐๐ วัน นับจากเดือนนิสาน (Nisan) เมื่อ ๕๓๖ ปีก่อนคริสตกาล (ปีที่พระเจ้าไซรัสปล่อยยิวกลับบ้านหลังจากตกไปเป็นเชลยที่บาบิโลน) มาจนถึงวันที่อิสราเอลตั้งประเทศได้เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๘ ไม่ผิดแม้แต่เดือนเดียว ความแม่นยำของไบเบิลในด้านต่างๆ ทำให้ผมยอมจำนนและเปิดใจต้อนรับพระเจ้าเมื่อประมาณ ๑๐ ปีที่ผ่านมา

ผมพบว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรม แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เมื่อผมต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในใจ นั่นคือการเริ่มความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ละวันพระองค์จะค่อยๆ สอนผม พระเจ้าพูดกับผมผ่านทางไบเบิล และบางครั้งผ่านทางความคิด และผมพูดกับพระองค์ผ่านทางคำอธิษฐาน

ผมมิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ศาสนศาสตร์ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คนที่เก่งกาจ ผมเป็นเพียงหมอโรคหัวใจธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นที่มีความรู้ความสามารถจำกัดมาก และเป็นเพียงคนบาปที่มิได้มีคุณความดีอะไร แต่พระเจ้าทรงเมตตาให้ผมได้รู้จักพระองค์ และด้วยความสัมพันธ์นี้ ผมพบสิ่งที่เฝ้าหามานาน นั่นคือสันติสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน พบการเติมเต็มให้แก่จิตวิญญาณ นับจาก ๑๐ ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน ผมพบว่าการตัดสินใจเชื่อในองค์พระเจ้าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม




่คริสต์ศาสนาสอนให้คนเชื่อในพระเจ้าโดยไม่ต้องตั้งคำถามหรือไม
พระเจ้าไม่ได้บอกว่าห้ามตั้งคำถามนะครับ เราถามได้แต่ก็ต้องมีศรัทธาในพระองค์ หากไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็ไม่มีทางจะรู้จักพระองค์ได้ ดังได้กล่าวแล้ว ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เราจะมีความสัมพันธ์กับผู้ที่เราไม่คิดว่ามีอยู่จริงๆ ได้อย่างไร สมัยก่อนผมก็เคยคิดว่า การที่ต้องศรัทธาก่อนไม่ดี เป็นเรื่องงมงาย แต่ที่จริงชีวิตเราทั้งชีวิตอยู่บนความเชื่อ เช่นเวลาเราขึ้นรถแท็กซี่ เราต้องเชื่อก่อนว่าเขาจะพาเราไปถึงที่หมาย เราจึงยอมขึ้นรถ เราขึ้นเครื่องบินโดยไม่มีใครขอดูใบขับขี่กัปตัน เราทานยาที่คุณหมอสั่งโดยไม่เคยไปตรวจองค์ประกอบทางเคมีของยานั้น และหลายครั้งที่เราทานยาโดยเราไม่ได้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของยาด้วยซ้ำ เราอ่านข่าวหนังสือพิมพ์โดยไม่เคยไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุจริงๆ ผมพบว่าเกือบทุกอย่างในชีวิตเริ่มต้นจากความเชื่อก่อน เพียงแต่ผมไม่เคยนั่งลงวิเคราะห์อย่างจริงจัง สมัยก่อนที่จะรู้จักพระเจ้าผมรู้สึกว่าศาสนาคริสต์งมงาย ให้เชื่อก่อนได้อย่างไร แต่ความจริงเราอาศัยความเชื่อในการดำรงชีวิตทุกๆ วัน

พระเจ้าไม่เคยห้ามมนุษย์ถามพระองค์ เมื่อศึกษาไบเบิลจะพบว่าหลายครั้งที่มนุษย์ทูลถามพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบ แม้เมื่อไม่นานมานี้มีเด็กกำพร้ายากจนผู้หนึ่งชื่อ จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์ (George Washington Carver) เขาชอบตั้งคำถามกับพระเจ้า และเรียกพระองค์ว่า "Mr. Creator" พระเจ้าทรงตอบเขา ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะทางการเกษตรและกลายเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของอเมริกา พระเจ้าไม่เคยห้ามมนุษย์ถามพระองค์ครับ ตรงข้าม พระเจ้าอยากให้เราพูดคุยและมีความสัมพันธ์กับพระองค์



นักวิทยาศาสตร์กับพระเจ้าไปด้วยกันได้ไหม
ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ายิ่งทำให้สิ่งที่ปรากฏในไบเบิลได้รับการพิสูจน์มากขึ้น ยกเว้นทฤษฎีวิวัฒนาการเท่านั้น สื่อต่างๆ ใช้คำว่า "วิวัฒนาการ" บ่อยจนคนจำนวนมาก (รวมทั้งผมเองในอดีต) เข้าใจว่าวิวัฒนาการเป็นเรื่องที่ถูกต้องแน่นอน แต่ความจริงแล้วทุกวันนี้วิวัฒนาการก็ยังคงเป็นทฤษฎี ไม่ใช่กฎ

ทฤษฎีของดาร์วินยังตอบอะไรไม่ได้หลายอย่าง ไม่เคยอธิบายว่าชีวิตเกิดมาได้อย่างไร เรื่องการคัดเลือกของธรรมชาติ บอกว่ามีกระต่ายวิ่งเร็วกับกระต่ายวิ่งช้า ต่อมากระต่ายวิ่งช้าสูญพันธุ์หมดเพราะโดนหมาป่าจับกิน แต่ไม่เคยบอกว่าหมาป่าวิ่งเร็วมาจากไหน ทำไมความบังเอิญจึงสรรค์สร้างสิ่งที่ดียอดเยี่ยมได้ ทำไมฟอสซิลทั้งหลายจึงเป็นฟอสซิลโดดๆ ทำไมไม่เคยเจอ "missing link" เป็นต้น ทฤษฎีของดาร์วินมีช่องโหว่มากมาย แต่ผมคิดว่าคนอยากจะยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมนุษย์ยากที่จะยอมรับได้ว่าตนเองถูกสร้างขึ้นมา มนุษย์เป็นผู้สร้างสิ่งของต่างๆ มากมาย เราภาคภูมิใจเวลาเราสร้างรถยนต์ คอมพิวเตอร์ หรือหุ่นยนต์ รู้สึกถึงความอัจฉริยะของมนุษย์ แต่เราสร้างต้นไม้สักต้นไม่ได้ มดตัวเล็กๆ สักตัวก็ไม่ได้ เรากลับบอกว่าต้นไม้กับมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เราอคติหรือเปล่า

ผมอดคิดไม่ได้ว่า อีโก้ของมนุษย์ (รวมทั้งผมเอง) สูงมาก จึงยากที่จะเชื่อว่าเราเป็นเพียงผู้ถูกสร้างขึ้นมา แต่ถ้าเรายอมลด "ตัวตน" ของเราลงมา ถ่อมใจและยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา ถามพระองค์ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร บางทีโลกของเราอาจไม่วุ่นวายเดือดร้อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และมนุษย์ทั้งหลายอาจพบความสุขแท้จริงที่ทุกคนไขว่คว้าก็เป็นได้

สูตรน้ำปั่นหน้าเด็ก

สูตรน้ำปั่นหน้าเด็ก

คือไปอ่านเจอมาค่ะ

เค้าบอกว่า ลุงคนนึงแกอายุ 84

แต่ใบหน้าแก อย่างกับ 58

เลยรีบเอามาปั่น ๆ ๆ ๆ ใหญ่เลย หะหะ

มันเป็นสูตรน้ำปั่นเพื่อสุขภาพค่ะ

ลองดู ๆ จะได้ลดอายุใบหน้ากันซัก สิบ ยี่สิบปี



สัดส่วนนี้สำหรับ 1วัน
ผักกาดหอม 2 ใบ
คื่นฉ่าย 2 ก้าน
มะเขือเทศ 1 ลูก
หอมใหญ่ 1/4 ลูก
น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ
มะนาว 1ลูก
แอ๊ปเปิ้ล 1 ลูก
น้ำต้มสุกเย็นแล้ว 2-4 แก้ว
ปั่นทั้งหมดรวมกันโลด...

ดื่ม 3 วันให้หมดโดยแช่เย็นไว้

(แต่ขอบอกว่ารสชาติอาจจะทารุณนิดนึง แต่เพื่อใบหน้าอันอ่อนเยาว์ )

น้ำมะม่วงปั่น

น้ำมะม่วงปั่น

ส่วนผสม
มะม่วงสุก (เฉพาะเนื้อ) 100 กรัม
น้ำเชื่อมใส 1/2 ถ้วยตวง
นมสด 1/2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1/4 ช้อนชา
น้ำแข็งเกล็ด 1 ถ้วยตวง
ใบสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
1. ผสมเนื้อมะม่วง น้ำเชื่อม นมสด น้ำมะนาวและน้ำแข็ง ลงในโถปั่น
2. ปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนน้ำแข็งละเอียด
3. เสิร์ฟใส่แก้วพร้อมหลอด ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่

ที่มา:: นิตยสาร แม่บ้าน

น้ำแครอท ผสม แอ๊ปเปิ้ลเขียวปั่น

ร้อนๆอย่างนี้ มาทำน้ำแครอท ผสมแอ๊ปเปิ้ลเขียวหั่นกันดีกว่าค่ะ

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ท่าน)

แครอท ครึ่งลูก

แอ๊ปเปิ้ลเขียว ครึ่งลูก

มะนาว ครึ่งลูก

น้ำเชื่อม 1 -1/2 ถ้วยตวง (แล้วแต่คนชอบ)

น้ำแข็งบด 2 ถ้วยตวง

เกลือป่น นิดหน่อย

นมสด 1/4 ถ้วยตวง

วิธีทำ

นำแครอทมาปอกเปลือกออก แล้วหั่นแว่นบางๆ เพื่อสะดวกในการปั่น

นำแอ๊ปเปิ้ลเขียว (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นชิ้นเล็กๆค่ะ

หลังจากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมด ใส่ลงไปในโถปั่น ปั่นให้ละเอียด แล้วเทใส่แก้ว พร้อมรับประทานจ้า แค่นี้ เราก็ได้น้ำที่อร่อย และมีประโยชน์ต่อร่างกายกันแล้วนะคะ

ประโยชน์ของแครอท

อุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ วิตามินเอเอาไว้ใช้ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและ เนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษา โรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าติด

นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูดซึมง่ายมีแพคตินซึ่งเป็นไฟล์เบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาท สำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค

ประโยชน์ของแอ๊ปเปิ้ล

แก้ท้องผูก จุกเสียด นอนไม่หลับ ป้องกันความดันโลหิตสูง
ผลสด คั้นน้ำดื่มก่อนนอนหรือกินผลสดวันละ 1 ผล
ข้อควรรู้ แอ๊ปเปิ้ลช่วยลดความดันโลหิต เพราะช่วยขับเกลือที่มีมากเกินไปในร่างกาย มีผลทำให้ความดันลดลง
แก้ปวดศีรษะข้างเดียว แก้อาเจียน
แอ๊ปเปิ้ลเขียว หั่นเป็นชิ้นใช้ดมกลิ่นและกินไปพร้อมกันรสหวานอมเปรี้ยวและกลิ่นที่หอมจะช่วยคลายปวดได้



คำแนะนำค่ะ

จะใส่ หรือไม่ใส่นมสดก็ได้

น้ำมะนว ถ้าชอบเปรี้ยวมาก ก็ใส่เยอะ แต่ถ้าไม่ชอบ ก็ใส่ตามใจชอบเลยค่ะ

แอ๊ปเปิ้ล เราสามารถเปลี่ยนจากแอ๊ปเปิ้ลเขียว มาใช้แอ๊ปเปิ้ลแดงได้นะคะ



ขอให้มีความสุขในการดื่มน้ำแครอท แอ๊ปเปิ้ลนะคะ

น้ำโยเกิร์ต-สตรอเบอร์รี่ปั่น

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kruaklaibaan.com/forum/index.php?s=9c44bf4c96e67d14f35408ff8393db93&act=ST&f=57&t=25022

น้ำโยเกิร์ต-สตรอเบอร์รี่ปั่น

สูตร
น้ำเชื่อมเข้มข้น 1/2 ออนซ์
น้ำโยเกิร์ต 1/2 ออนซ์
(ถ้าใช้โยเกิร์ตชนิดน้ำจะมีรสชาติคล้ายยาคูลท์ น้ำโยเกิร์ตเป็นคนละชนิดกับโยเกิร์ตที่ขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้านะครับ)
น้ำเชื่อมสตรอเบอร์รี่ 1/2 ออนซ์
น้ำมะนาวหวาน 1/2 ออนซ์
(ใส่หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากบางท่านอาจจะไม่ชอบให้มีกลิ่นมะนาวผสม หากไม่ใส่ให้เพิ่มน้ำเชื่อมสตรอเบอร์รี่ลงไป 1/2 ออนซ์)
น้ำสะอาด 1-3 ออนซ์
ผลสตรอเบอร์รี่ 2 ลูก (ใส่หรือไม่ก็ได้)
น้ำแข็งยูนิตก้อนเล็ก (ขนาดแก้ว 12 ออนซ์) 1 แก้ว
เกลือป่น
นมสด

วิธีการปั่น
1. ตวงน้ำแข็งให้เต็มแก้ว 12 ออนซ์ เพิ่มอีกนิดหน่อย เพราะเมื่อปั่นแล้วน้ำแข็งจะ soft ตัวลง ใส่ลงในโถปั่น
2. ใส่น้ำเชื่อมเข้มข้น น้ำโยเกิร์ต น้ำเชื่อมสตรอเบอร์รี่ น้ำมะนาวหวาน น้ำสะอาด และผลสตรอเบอร์รี่ล้างแล้วผ่า ใส่ลงในโถปั่น
3. เหยาะเกลือป่นนิดหน่อยเพื่อตัดความเลี่ยน ตามด้วยโรยนมสดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอมมัน
4. ทำการปั่นได้
5. จะได้น้ำโยเกิร์ต-สตรอเบอร์รี่ ปั่น ที่มีรสชาติหอม หวาน เปรี้ยว มัน อร่อยมาก
6. อาจจะใส่ฟรุ้ตสลัด วุ้นสีต่างๆ เยลลี่ หรือไข่มุกก็ได้

สูตรชาเย็น ร้อน

สูตรชาเย็น ร้อน ค่ะ

ชานมร้อน(ใช้ผงชาดำตรามือ หรือผงชาเขียวนมตรามือ)
-ตวงนมข้นหวาน 3/4 ออนซ์ เทลงในถ้วยตวง
-ตักผงชา 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ตะแกรง single shot กลั่นชาตามลงไปในถ้วยตวงจนได้ระดับ 5 ออนซ์
-คนให้เข้ากัน /เทใส่แก้วกาแฟร้อนขนาด 6 ออนซ์ /แต่งหน้าด้วยฟองนม / เสิรฟ


ชานมเย็น(ใช้ผงชาดำตรามือ หรือผงชาเขียวนมตรามือ)
-ตวงนมข้นหวาน 2 ออนซ์ เทลงในถ้วยตวง
-ตวงนมสด /12 ออนซ์ เทตามลงไปในถ้วยตวง
-ตักผงชา 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ตะแกรง double shot กลั่นชาตามลงไปในถ้วยตวงจนได้ระดับ 7 ออนซ์
-คนให้เข้ากัน/เทใส่แก้ว 22 ออนซ์ที่มีน้ำแข็งเต็มแก้ว/ปิดฝา/เสริฟ

สูตรน้ำปั่นเพื่อสุขภาพ

สูตรน้ำปั่นเพื่อสุขภาพ

smoothie โยเกิร์ต

โยเกิร์ตสตอว์เบอร์รี 1 ถ้วย
น้ำเชื่อม 1-2 ช็อต
สตอเบอรื่ 2-3 ลูก
น้ำแข็ง 2 แก้ว กะ เอา แก้ว 16 ออนซ์

ปั่นส่วนผสมทุกอย่างรวมกันให้ละเอียด



Smoothie apple

เนื้อแอปเปิล
โยเกิร์ตรสแอปเปิล 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเชื่อมหนึ่งออนซ์
นมข้นหวานครึ่งออนซ์
นมสดหนึ่งออนซ์
น้ำแข็ง

ปั่นส่วนผสมทุกอย่างรวมกันให้ละเอียด



Kiwi Smoothie

กีวี 3 ชิ้น
นมเปรี้ยวรสผลไม้รวม 15 มล.
นมข้น 10 มล.
น้ำเชื่อม 10 มล.
กีวีเข้มข้น 1 ปั๊ม
น้ำแข็ง 1 แก้ว

ปั่นส่วนผสมทุกอย่างรวมกันให้ละเอียด

" สูตรน้ำปั่นตามราศี"

" สูตรน้ำปั่นตามราศี"

อันนี้เน้นถามธาตุของแต่ละราศีนะจ๊ะ นำผักผลไม้ที่แนะนำมาทำน้ำปั่นได้เลยจ้า

คนเกิดราศีเมษ เกิดระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 พฤษภาคม เป็นราศีเกิดของ ธาตุไฟ
คนเกิดราศีพฤษก เกิดระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม –14 มิถุนายนเป็นราศีเกิดของ ธาตุดิน
คนเกิดราศีเมถุน เกิดระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน – 15 กรกฎาคมเป็นราศีเกิดของ ธาตุลม
คนเกิดราศีกรกฎ เกิดระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม- 16 สิงหาคม เป็นราศีเกิดของ ธาตุน้ำ
คนเกิดราศีสิงห เกิดระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม- 16 กันยายนเป็นราศีเกิดของ ธาตุไฟ
คนเกิดราศีกันย เกิดระหว่างวันที่ 17 กันยายน- 16 ตุลาคมเป็นราศีเกิดของ ธาตุดิน
คนเกิดราศีตุลย ์เกิดระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม- 16 พฤศจิกายน เป็นราศีเกิดของ ธาตุลม
คนเกิดราศีพิจิก เกิดระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน- 15 ธันวาคมเป็นราศีเกิดของ ธาตุน้ำ
คนเกิดราศีธน ูเกิดระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม-13 มกราคมเป็นราศีเกิดของ ธาตุไฟ
คนเกิดราศีมังกร เกิดระหว่างวันที่ 14 มกราคม-12กุมภาพันธ์เป็นราศีเกิดของ ธาตุดิน
คนเกิดราศีกุมภ ์กิดระหว่างวันที่ 13 กุมภาพันธ์- 13 มีนาคมเป็นราศีเกิดของ ธาตุลม
คนเกิดราศีมีน เกิดระหว่างวันที่ 14 มีนาคม-12เมษายนเป็นราศีเกิดของ ธาตุน้ำ

ธาตุลม
มักจะชอบดื่มน้ำผักผลไม้ที่มีรสเผ็ดร้อนกระเพาแดง ขิง ข่า ตะไคร้
1. แอปเปิ้ล-สับปะรด-ส้ม-ตะไคร้-น้ำผึ้ง
2. สับปะรด-มะนาว-ขิง
3. แตงโม-ขิง-สตอ
4. เซลารี่-แครอท-แอปเปิ้ล-ขิง
5. แครอท-ขิง-แอปเปิ้ล-สตอ

ธาตุดิน
มักจะชอบดื่มน้ำผักผลไม้ที่มีรสฝาด,รสหวาน,รสมัน,และรสเค็มฝรั่ง มะตูม
กระท้อน มะกอก มะขามป้อม ลูกหว้า แตงโม มะละกอ กล้วยหอม ขนุน เงาะ
น้อยหน่า ละมุด ลำไย น้ำอ้อย กระจับ ข้าวโพด แห้ว เกลือ
1. อะโวคาโด-กีวี-กล้วย
2. บีรูท-เสาวรส-สตอ
3. มะละกอ-กล้วย-อะโวคาโด
4. แตงโม-ลำไย-กล้วย
5. ฝรั่ง-อะโวคาโด-กีวี

ธาตุไฟ
มักจะชอบดื่มน้ำผักผลไม้ที่มีรสหอมเย็น รสจืดลูกเดือย เม็ดแมงลัก
น้ำอาร์ซี แตงไทย มะพร้าว นากบัว ลูกจาก ลูกตาลอ่อน ผักคะน้า ผักตำลึง
แตงกวา คึ่นฉ่าย ดอกคำฝอย ว่านหางจระเข้ กำหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง
1. แตงโม-แตงกวา-แคน-ฝรั่ง
2. มะพร้าว-ลิ้นจี่-ลูกตาล
3. มะม่วง-ลิ้นจี่-มะพร้าว
4. มะเขือ-สาระแหน่-พริกไท-แตงกวา
5. เซลลารี่-มะเขือ-แตงกวา


ธาตุน้ำ
มักจะชอบดื่มน้ำผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว รสขมมะขาม มะนาว กระเจี๊ยบ
มะยม ส้มโอ มังคุด มะเขือเทศ สับปะรด ส้มเขียวหวาน ลังสาด ลิ้นจี่ เชอรี่ องุ่น
ชมพู่ ทับทิม พุทรา สตอเบอร์รี่ มะขวิด มะปราง มะเฟือง มะไฟ มะม่วง มะระขี้นก
เห็ดหลินจือ ใบบัวบก
1. สตอ-สับปะรด-มะม่วง
2. ส้ม-สับปะรด-มะม่วง
3. มะเขือ-มะนาว-กระเจี๊ยบ-สตอ
4. ส้ม-สตอ-มะเขือ
5. ลิ้นจี่-ส้ม-สตอ

(แก้ไขเพิ่มเติมจาก geocities.com)

นมสดปั่นต่างๆมาฝากกันค่ะ


นมแอปเปิลปั่น

ส่วนผสม
แอปเปิลหั่นชิ้นเล็ก 1/2 ผล
นมสด 1/4 ถ้วย
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ บดหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำแข็งบด

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดในโถปั่น
(ยกเว้นเม็ดมะม่วงหิมพานต์)
ปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียด
เทใส่แก้ว
โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์

นมแคนตาลูปปั่น

ส่วนผสม
นมสด 1 ถ้วย
แคนตาลูปหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
น้ำเชื่อม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำแข็งบด

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น
ปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียด
เทใส่แก้ว

นมผักผลไม้รวมปั่น

ส่วนผสม
นมสด 1/2 ถ้วย
น้ำผักผลไม้รวม 1/2 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
น้ำแข็งบด

ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น
ปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียดและเข้ากันดี
เทใส่แก้ว ดื่มทันที

ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ
แค่นมสดเมจิสีน้ำเงิน 6 ออนซ์
น้ำเชื่อม สีใสๆ ประมาณ 3/4ออนซ์ หรือตามชอบ
ปั่นกับน้ำแข็งประมาณ 4 ออนซ์ ให้เนียน ก็อร่อยแล้ว
แต่ถ้าอยากให้อร่อยกว่านี้
ให้ใช้น้ำเชื่อม กลิ่นวานิลลา หรือคาราเมล หรือพวกฮาเซลนัทแทน
ปั่นเข้ากันให้เนียนๆ แค่นี้ก็อร่อยแล้วค่ะ


ที่สีชมพูอันนั้นใส่ไซรัป กลิ่นสตอเบอรี่ค่ะ หอมมากๆ เลย

มาค่ะ มาทำเหล้าปั่นกันค่ะ

มาค่ะ มาทำเหล้าปั่นกันค่ะ
Apr 18, '09 2:00 PM
for everyone



ภาพประกอบค่ะ อิอิ



ภาพประกอบอีกแระ อิอิ

Blue Magarita (บลู มาการีต้า)
ส่วนผสม
- ตากีล่า(Tequila) 1 ออนซ์
- บลู คูราโซ่(Blue Curacao) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ ราว 10 วินาที
- รินแต่ส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว
*ที่ถูกต้องเคลือบปากแก้วด้วยเกลือป่น แต่พอดีตอนทำที่บ้านเกลือหมดค่ะ


Frozen Blue Magarita (โฟรสเซน บลู มาการีต้า)
ส่วนผสม
- ตากีล่า(Tequila) 1 ออนซ์
- บลู คูราโซ่(Blue Curacao) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อม 1 ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปในโถปั่น
- ใส่น้ำแข็งตามลงไปให้ได้มากที่สุด แต่ก้อนบนสุดต้องพ้นน้ำไม่เกิน¼ของก้อน
- รินใส่แก้วที่เคลือบเกลือไว้
เพิ่มปริมาตรส่วนผสมต่างๆเป็น 3เท่า แล้วเสริฟแบบ รินใส่แก้ว Shot ค่ะ




Mojito(โมจีโต้)
ส่วนผสม
- รัมขาว (White Rum) 1½ ออนซ์
- น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
- มะนาว 1ลูก
- ใบสะระแหน่ 7 - 8 ใบ
วิธีทำ
- ใส่น้ำตาลลงไปในแก้ว
- หั่นมะนาวให้เป็นชิ้นเล็กๆ(ราว8-12ชิ้น) ใส่ลงในแก้ว
- ใส่ใน สะระแหน่ลงในแก้ว
- ใส้ด้านหลังช้อน บดส่วนผสมต่างๆให้ค่อนข้างแหลก
- ใส่เหล้า รัม ลงในแก้ว
- เติมน้ำแข็งบดให้เกือบถึงขอบแก้ว(ราว 1-2 cm.)



Singapore Sling(สิงคโปร์ สลิง)
ส่วนผสม
- จิน(Gin) 1ออนซ์
- เชอรี่ บรั่นดี(Cherry Brandy) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อมทับทิม ½ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
- โซดา ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์ราวๆครึ่งหนึ่ง
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ ราว 10 วินาที
- รินแต่ส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว
- ใส่น้ำแข็งจากใน เชดเกอร์ตามลงไป(ให้เหลือที่ว่างไว้ราว 1½ นิ้ว)
- ค่อยๆใส่โซดาลงไป
*พอใส่โซดาแล้วไม่ต้องคน ใส่หลอดเสริฟเลยค่ะ





Blue Honolulu (บลู โฮโนลูลู)
ส่วนผสม
- รัมขาว(Light Rum) 1½ ออนซ์
- บลู คูราโซ่(Blue Curacao) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
- สับปะรดกระป๋องแบบหั่นแว่น 2 ชิ้น
- น้ำสับปะรด ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปในโถปั่น
- รินใส่แก้วที่เตรียมไว้
*อาจใช้น้ำเชื่อมในกระป๋องสับปะรด แทนน้ำสับปะรดก็ได้นะคะ ประหยัดดี





Blue Summer Kisses (บลู ซัมเมอร์คิสส์)
ส่วนผสม
- รัมขาว(Light Rum) 1½ ออนซ์
- บลู คูราโซ่(Blue Curacao) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
- ลิ้นจี่กระป๋อง 4 ลูก
- น้ำเชื่อมในกระป๋องลิ้นจี่ ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปในโถปั่น
- รินใส่แก้วเสริฟ


*อันนี้ทำไปพร้อมกับ Blue Honolulu เพราะส่วนผสมคล้ายกันมากค่ะ ต่างกันนิดเดียวเอง





Magarita (มาการีต้า)
ส่วนผสม
- ตากีล่า(Tequila) 1 ออนซ์
- ทริเปิล เซค(Triple Sec) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ ราว 10 วินาที
- รินแต่ส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้วที่เคลือบเกลือไว้



เหล้าปั่นผลไม้รวม
ส่วนผสม
- เหล้ารัม(ผมใช้แสงโสม) 1 ออนซ์
- ว็อดก้า(Vodka) 1 ออนซ์
- น้ำผักผลไม้รวม 250 cc.(1กล่อง)
- น้ำมะนาว ½ ออนซ์
- น้ำส้มซันควิก 1 ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไปในโถปั่น
- รินใส่แก้วที่เตรียมไว้
*สามารถปรับแต่ง เปลี่ยนเหล้า น้ำหวาน น้ำผลไม้ มากน้อยได้ตามใจชอบนะจ๊ะ





Mai - Tai (ไหม – ไท)
ส่วนผสม
- รัมขาว(Light Rum) 1 ออนซ์
- รัมดำ(Dark Rum) ½ ออนซ์
- ออเรนจ์ คูราโซ่(Orange Curacao) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ¾ ออนซ์
- น้ำส้ม ½ ออนซ์
- น้ำสับปะรด ½ ออนซ์
- น้ำเชื่อมทันทิม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินพร้อมน้ำแข็งลงในแก้ว




Pink Lady (พิ้งค์ เลดี้)
ส่วนผสม
- จิน(Gin) 1 ออนซ์
- ทริเปิล เซค(Triple Sec) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อมทันทิม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว




Long Island(ลอง ไอซ์แลนด์)
ส่วนผสม
- ว็อดก้า(Vodka) 1 ออนซ์
- รัมขาว(Light Rum) 1 ออนซ์
- ตากีล่า(Tequila) 1 ออนซ์
- จิน(Gin) 1 ออนซ์
- ทริเปิล เซค(Triple Sec) 1 ออนซ์
- น้ำมะนาว ½ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว
*แรงเอาเรื่องนะครับแก้วนี้




Around the World(อะราวด์ เดอะ เวิลด์)
ส่วนผสม
- ว็อดก้า(Vodka) ½ ออนซ์
- รัมขาว(Light Rum) ½ ออนซ์
- จิน(Gin) ½ ออนซ์
- บรั่นดี(Brandy) ½ ออนซ์
- วิสกี้(Whisky) ½ ออนซ์
- ครีม เดอ เมนท์ สีเขียว(Crème de Menthe-Green) ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินพร้อมน้ำแข็งลงในแก้ว
*แก้วนี้ก็แรงเอาเรื่องอีกตัวเลย





Tequila Rose(ตากีล่า โรเช่)
ส่วนผสม
- ตากีล่า(Tequila) 1 ออนซ์
- ทริเปิล เซค(Triple Sec) ½ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อมทับทิม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว




Torpedo(ตอร์ปีโด)
ส่วนผสม
- บรั่นดี(Brandy) ½ ออนซ์
- จิน(Gin) ½ ออนซ์
- ครีม เดอ เมนท์ สีเขียว(Crème de Menthe-Green) ¾ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในแก้ว(แก้วขนาด 5 – 7 ออนซ์)
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป





Matador(มาทาดอร์)
ส่วนผสม
- ตากีล่า(Tequila) 1 ออนซ์
- น้ำสับปะรด 2 ออนซ์
- น้ำมะนาว ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว





Whisky Sour(วิสกี้ ซาวร์)
ส่วนผสม
- วิสกี้(Whisky) 1 ออนซ์
- น้ำเชื่อม ¾ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว





Between the Sheet(บีทวีน เดอะ ชีท)
ส่วนผสม
- บรั่นดี(Brandy) ¾ ออนซ์
- รัมขาว(Light Rum) ¾ ออนซ์
- ทริเปิล เซค(Triple Sec) ¾ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว





Cherry Blossom(เชอรี่ บลอสซั่ม)
ส่วนผสม
- เชอรี่บรั่นดี(Cherry Brandy) ¾ ออนซ์
- บรั่นดี(Brandy) ½ ออนซ์
- น้ำเชื่อมทับทิม ¼ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ¼ ออนซ์
- น้ำมะนาว ¼ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว





Bacardi Cocktail(บาคาร์ดี้ ค็อคเทล)
ส่วนผสม
- บาคาร์ดี้ รัมขาว(Bacardi Light Rum) 1 ออนซ์
- น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
- น้ำเชื่อมทับทิม ½ ออนซ์
- น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงในเชคเกอร์
- ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป แล้วเขย่าแรงๆ เร็วๆ ราว 10 วินาที
- รินเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำลงในแก้ว





Cuban Sunrise(คิวแบน ซันไรซ์)
ส่วนผสม
- รัมขาว( Light Rum) 1 ออนซ์
- น้ำเชื่อมทับทิม ½ ออนซ์
- น้ำส้มคั้น
วิธีทำ
- ใส่น้ำแข็งลงให้เต็มแก้ว(แก้วขนาด 8 – 10 ออนซ์)
- ใส่รัมขาว แล้วเทน้ำส้มตามลงไปจนต่ำกว่าขอบแก้วซัก 1 นิ้ว
- รินน้ำเชื่อมทับทิมตามลงไป
- คนเบาๆพอให้ด้านล่างเข้ากันแล้วเสริฟพร้อมที่คน





ตอปิโด - Torpedo

ส่วนผสม

: จิน 0.5 ออนซ์
บรั่นดี 0.5 ออนซ์
ครีม เดอ เม้นท์ สีเขียว 0.75 ออนซ์(creme de menthe-green)
ใส่น้ำแข้งก้อน ลงในแก้ว ประมาณ 3 ใน 4 ริน จินและบรั่นดีลงในแก้ว ใช้ช้อนบาร์คนส่วนผสมให้เข้ากันริน ครีม เดอ เม้นท์-สีเขียวลงในเครื่อมดื่ม โดยไม่ต้องคนอีก

เสร็จแล้วเทใส่แก้ว เท่านี้เองค่ะ เป็นอันว่าเรียบร้อย อิอิ


ลองทำกันดูนะคะ เมายังไงเอ้ย ไม่ช่ายย อร่อยยังงไงบอกกันบ้างนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2552

ไข่กระทะ ขนมปังหมูยอ

ไข่กระทะ

ก่อนอื่นต้องมีภาชนะสำหรับใส่ไข่กะทะ
เครื่องปรุง ก็มี
หมูสับ ให้นำไปผัดพร้อมกับ รากผักชี กระเทียม พริกไท รวนจนแห้ง ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำตาล อย่าให้หวานมาก เอาหวานปะแล้มพอ ใช้เกลือแทนน้ำปลา จะได้ไม่มีกลิ่นคาว
กุนเชียง และ หมูยอ หั่นบางๆ
ไข่ไก่

นำกระทะไข่ตั้งไฟอ่อน ทามาการีนหรือเนยจืดลงในกะทะ จากนั้นตอกไข่ใส่ลงไป เรียงหมูยอ กุนเชียง โรยหมูสับที่รวนไว้
อย่าเร่งไฟแรง เพราะไข่จะไหม้ ใช้ไฟอ่อนไปเรื่อยๆ หาฝาปิดจะทำให้ไข่สุกเร็วขึ้น
ควรใช้ แตงกวา มะเชือเทศ ผักสลัด จัดลงในจาน วางขนมปังปิ้ง หรือ ขนมปังฝรั่งเศส พอไข่สุกโรยต้นหอม ทานกับซ้อสพริก ซ้อสมะเขือเทศ ซ้อสภุเขาทอง เกลือ และพริกไทป่น
ทานควบคู่ กาแฟ หรือ ชา ตามถนัด ครับ

อีกสูตร

เครื่องปรุง
ไข่ไก่ 2 ฟอง เนย 1 ช้อนโต๊ะ หมูบด 1 ช้อนโต๊ะ กุนเชียง 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมสับ 1 ช้อนชา หมูยอ 4 ชิ้น น้ำปลา ต้นหอมซอย ขนมปังฝรั่งเศส 2 ชิ้น กระทะเล็กสำหรับทำไข่กระทะ

วิธีทำ
1. ใส่น้ำมันในกระทะเล็กน้อยนำกระเทียมสับลงผัดให้หอม ใส่หมูสับผัดจนสุกปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่ต้นหอมซอย ผัดให้เข้ากันตักขึ้นพักไว้
2. กุนเชียงย่างพอสุกหั่นเป็นชิ้นบาง
3. หมูยอหั่นเป็นชิ้นบาง
4. นำกระทะที่สำหรับเสิร์ฟตั้งไฟ พอร้อนใส่เนย ใช้ไฟอ่อน พอเนยละลายใส่ไข่ลงทอดปิดฝาพอไข่สุก ยกลงโรยหน้าด้วยหมูที่ผัดไว้ กุนเชียง หมูยอ เสิร์ฟกับขนมปังฝรั่งเศสปิ้ง ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซอสปรุงรสตามชอบ

หมายเหตุ ไข่กระทะเป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศส เป็นอาหารเช้า ไข่กระทะมักจะเสิร์ฟเป็นชุด ใน 1 ชุด มีขนมปังฝรั่งเศส ไข่ดาวแบบฝรั่ง ชาหรือกาแฟ น้ำส้มคั้น ในปัจจุบันไข่กระทะนิยมใช้เป็นอาหารเช้าที่บริการให้กับนักท่องเที่ยว



ขนมปังหมูยอ

ส่วนประกอบ
- ขนมปังฝรั่งเศสชนิดแท่งเล็กยาวประมาณ 5-6 นิ้ว (เวียงจันท์เรียกข้าวจี่ 10 อันหรือมากกว่า
- เนื้อหมูบดหรือสับละเอียด 1 ถ้วยตวง
- กุนเชียง 1 เส้น มาตรฐาน
- หมูยอ 1 แท่ง ไม่มีใช้ บาโลน่าแทนอร่อยไปอีกแบบ
- ต้นหอม เอาเฉพาะต้นและหัวสีขาว หั่นบางๆ 7 ต้น
- ซ๊อสปรุงรส (สีดำ)
- นำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
- ซ๊อสมะเขือเทศ 1 /2 ช้อนโต๊ะ
- พริกไทย
- เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ
- นำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับผัด)
- นำมันพืชทอดกุนเชียง (ตามสมควร)
วิธีทำ
- กระทะตั้งไฟ จนร้อน นำมันผัดลง หมูบดลง ซ๊อสปรุงรสลง คนยีให้หมูกระจายและสุก นำตาลลง ซ๊อสมะเขือเทศลง เนยแบ่ง 1 ช้อนชาลง ผัดให้ทั่ว พริกไทย และหอมสดหั่นลงทีหลังผัดให้หอม ถ้าแห้งจนจะไหม้เติมนำได้เล็กน้อย เสร็จแล้วหน้าตาจะเกือบแห้งมีนำพอชื้นเท่านั้น ตักใส่จานพักไว้ เรียกว่าไส้หมูผัด ไม่มีกระเทียมมาเกี่ยวข้องนะครับ
- ตัดกุนเชียงครึ่งท่อน ต้มในนำเดือด 3 นาที ทอดในกระทะ ให้เหลืองเล็กน้อย จะไม่แห้ง และนุ่ม จากนั้นฝานบาง (2 -3 มม.) ตามยาวได้หลายแผ่น พักไว้
- ตัดหมูยอยาวประมาณกุนเชียง แบ่งครึ่งตามยาวแล้วหั่นบาง(3-4 มม.) ทำหลายชิ้น พักไว้
- เอาขนมปังมาผ่าแหวกกลางเกือบตลอกแนว แบะออกให้มีลักษณะคล้าเรือบด มีหัวมีท้ายตรงกลางป่องออก จากนั้นหยิบกุนเชียงวางตั้งตามยาวกราบข้างหนึ่งและหยิบหมูยอมาวางตั้งตามยาวอีกข้าง ตรงกลางตักไส้หมูที่ผัดไว้ใส่ประมาณ1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นตักเนยแตะที่หน้าขนมปังทั่วทั้งแผ่น
- นำเขาเตาอบที่ร้อนแล้ว (ร้อนขนาดกลางของเตานั้นๆ) อบจนเปลี่ยนสีเป็นเหลืองเกรียม (อย่าให้ไหม้) จะกรอบและมีนำมันเนยเป็นมัยอยู่หน้าขนมปัง รับรองว่าหอมฉุย นำออกใส่จานเสริฟร้อนๆ บีบซ๊อสพริกหรือซ๊อสมะเขือเทศ จะร่วมกับซ๊อสดำเหยาะก็ไม่ผิดกติกาแต่ประการใด
** ถ้าอยากอร่อยเหาะกว่านี้ เอาแตงกวาอ่อนหั่นเป็นฝอยๆ
ประมาณ 1 ถ้วยตวง จากนั้น เอานำตาลทราย 1 1/2 ข้อนโต๊ะเกลือ 1/2 ช้อนชา นำส้มสายชู 1 1/2ช้อนชา รวมใส่ถ้วยผสมคนให้ละลาย จากนั้นนำแตงกวาที่ทำไว้ลงคลุกกลับไปกลับมาก็เสร็จ เป็นอาจาดแตงดอง(ไม่ใส่หอมแดง) ทีนี้ขนมออกจากเตาปุ๊บ แหวกขนมออกนิดหน่อย เอาคีมคีบแตงกวาดองใส่นิดหน่อย แล้วเสริฟตอนร้อนๆ ผมว่าคนเดียวอันเดียวไม่พอหรอก คูณจำนวนคนด้วย 3 นั่นแหละพอดี ทำแล้วอร่อยอย่าลืมผมเด้อ รายงานด้วยครับ อ้อ ขนมปังแท่งเล็กอาจจะหายาก อาจประยุกต์ใช้ชนิดอื่นก็ได้ แต่จะอร่อยสู้แบบนี้ไม่ได้ ลองเอาเองครับ

โจ๊ก

โจ๊กฮ่องกง
ส่วนประกอบ สำหรับ 3 ท่าน
ข้าวหอมมะลิ 1 ถ้วยตวง
ข้าวเหนียว 2 ช้อนโต๊ะ
เคี่ยวจะเละพอดีพักไว้
เครื่องปรุง
หมูบด ไข่ขาว 1 ฟอง(ไข่แดงไม่เอา) ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย กระเทียมสับละเอียด น้ำมันงาเล็กน้อย แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน พักไว้ ครึ่งชัวโมง
ส่วนผสมทั้งหมดปรุงรสตามชอบ และเตรียมขิงและต้นหอมซอยละเอียด ไข่เยียวม้าและปูอัดหั่นชิ้นพอคำ
วิธีทำ
เคี่ยวนำซุปกระดูกหมู หรือซุปก้อน ยกหม้อซุปขึ้นตั้งไฟ นำหมูบดที่หมักไว้ใส่ในน้ำซุปที่เดือดก้อนเล็กๆ แล้วนำไปผสมกับโจ๊กที่เคี่ยวจนละเอียดแล้ว ตั้งไฟให้ร้อนเพื่อจัดเสริฟ
การจัดเสริฟ นำไข่เยี่ยวม้าและปูอัดจัดใส่ชามตามชอบ ตัดโจ๊กร้อนๆลงบนถ้วย โรยขิงและหอมซอยละเอียดเล็กน้อย พรมพริกไทย ก็เป็นอันเรียบร้อย
สตรฮ่องกงแท้ อย่าลืมปาท่องโก๋

ส่วนข้าวที่ใช้ทำโจ๊กใช้ปลายข้าวหอมมะลิ ข้าวที่ใช้ทำข้าวต้มก็หุงให้นุ่มหน่อยค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าจะขายข้าวต้มอะไร เช่นปลา หมึก หมู ฯลฯ ของต้องสดค่ะ ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะในการทำ ใช้เตาถ่านต้ม จะหอมกว่าเตาแก๊ส เวลาต้มนี่ เขาจะต้มข้าวต่างหาก แยกกับน้ำซุป แล้วค่อยตักข้าวมาผสมกับน้ำซุปกระดูกหมู ในอีกเตานึง แล้วจึงใส่หมูสับที่ปรุงแล้วลงไป ค่ะ หมูบดในโจ๊กใส่น้ำลงไปปั่นพร้อมเนื้อหมูและมันหมูถึงนุ่มอร่อย

สิ่งสำคัญที่ทำให้อร่อยคือน้ำซุปค่ะ ลองใช้กระดูกหมูส่วนที่สำหรับต้มน้ำซุปโดยเฉพาะ เพราะน้ำต้มกระดูกหมู แต่ต้องเป็นกระดูกสันหลัง หาซื้อได้ตามเขียงหมู บอกแม่ค้าเขาคงทราบค่ะ หรือตาม super market ก็คงจะมีค่ะ นำกระเทียม(กลีบเล็กจะหอมกว่ากลีบใหญ่), พริกไทยเม็ด,รากผักชี มาห่อผ้าขาวบาง นำไปต้มรวมกับกระดูกหมู ใส่ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส ลงไปด้วยจะทำให้หอมมากขึ้น เมื่อเคียวไปนานๆ ความหวานของกระดูกหมูบวกกับความหอมของเครื่องปรุงที่ต้มรวมกันก็จะทำให้น้ำซุปอร่อย

จีน หมูสับจะขาวว่อกคิดว่าใส่มันหมูลงเพียบเพื่อให้มันนิ่ม หมักด้วยซีอิ้วดำ พริกไทย แป้งมันนิ้ดหน่อยก่อน ใส่น้ำให้หมูมันขลุกขลิก ถ้าหมูมันแห้งไม่อร่อยค่ะ

ร้านโจ๊กชื่อดังในตลาดเมืองนนทบุรีนะครับเขาใช้ปลายข้าวและผสมด้วยข้าวเหนียวนิดหน่อยครับและใช้น้ำซุปกระดูกหมูครับปลายข้าวและข้าวเหนียวนี่ต้องเคี่ยวให้แหลกจริงๆนะครับ การที่จะอร่อยเครื่องต้องดีนะครับเช่นตับหมูต้องสด ใส้หมูต้องสะอาด หมูบดนะครับต้องปรุงรสให้ดีนะครับมีส่วนทำให้อร่อยขึ้นแน่ๆครับ ที่สำคัญนะครับถ้าได้ปาท่องโก๋เวลาทานอร่อยครับ

จาก www.malila.com ค่ะ
โจ๊กหมู
อาหารเช้าที่ซดคล่องคอ ย่อยง่าย กินได้ทุกวัย กินอาหารเช้าๆ มากๆ นี่ดีค่ะ จะได้มีพลังงานไว้ทำงาน ดีกว่ากินมื้อเย็นเยอะๆ เพราะจะอ้วนง่าย
เครื่องปรุง
ข้าวซ้อมมือ 3/4 ถ้วย
หมูสับ 200 กรัม
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา
ซอสถั่วเหลือง (1) 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงหั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสถั่วเหลือง (2) 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
ต้นหอม ผักชี หั่นหยาบๆ 2 ต้น
น้ำซุป 2 ถ้วย
เบคอนทอดกรอบ 4-5 ชิ้น
วิธีทำ
ต้มข้าวกับน้ำสะอาด 4 ถ้วยตวง จนเม็ดข้าวบาน ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด
ผสมหมูสับกับแป้งข้าวโพด ซอสปรุงรส(1) และน้ำตาลทราย นวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
นำน้ำซุปตั้งไฟ พอน้ำเดือดใส่ข้าวที่ปั่นไว้ หรี่ไฟให้อ่อน หมั่นคนไม่ให้ข้าวเป็นก้อน จนข้าวกับน้ำซุปเข้ากันดี
ปั้นหมูสับที่หมักไว้เป็นก้อนเล็กๆ ใส่ลงไป พอหมูสุก ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส(2) เกลือ ยกลง
ตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยขิงซอย ต้นหอม ผักชี พริกไทย และเบคอนหักเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดรับประทาน 4 คน Anik 16/8/2544

สตรอเบอร์รี่ปั่น หลากหลายรูปแบบ

สตรอเบอร์รี่ปั่น หลากหลายรูปแบบ

ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าเราจะใช้สตรอเบอร์รี่ชนิดไหนมาปั่นขายให้ลูกค้าเพราะสตรอเบอร์รี่มีหลายชนิด มีทั้งชนิดสดที่มีเฉพาะหน้าหนาวส่วนหน้าอื่นๆ ก็มีจำหน่ายเหมือนกัน แต่ราคาสูงมากเพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเหมาะสำหรับทำจำหน่ายในราคาแพงๆตามภัตตาคาร โรงแรมชั้นนำ สถานที่ออกกำลังกาย และตามแหล่งสปาต่างๆ

สตรอเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดคือสตรอเบอร์รี่สดแช่เย็นชนิดเย็นจัดจนแข็งเป็นน้ำแข็งปราศจากการเชื่อมหรือถนอมด้วยน้ำตาลในการปั่นสตรอเบอร์รี่ชนิดนี้แต่ละครั้งใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกับการปั่นด้วยสตรอเบอร์รี่สดทุกประการ แต่ความอร่อยย่อมสู้ชนิดสดๆซึ่งมีความหอมกว่าไม่ได้

ส่วนสตรอเบอร์รี่อีกชนิดคือสตรอเบอร์รี่เชื่อมในน้ำเชื่อมเข้มข้น สามารถซื้อหาได้ที่ห้างแม็คโครแผนกสินค้าอาหารแช่แข็ง หรืออีกหนึ่งที่ คือที่ตลาดนัดจตุจักรที่ร้านสุภาพร ใกล้ทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน

ในสภาวะเศรษฐกิจสมัยนี้ของทุกอย่างแพงหมด ฉะนั้นแล้วเรามาเพิ่มมูลค่าของสตรอเบอร์รี่เชื่อมกันดีกว่า ในสูตรนี้เราจะใช้เป็นสตรอเบอร์รี่เชื่อมสำเร็จรูปผู้อ่านลองย้อนนึกไปถึงร้านน้ำผลไม้ปั่นตามตลาดนัดสิครับ

เขาจะเชื่อมสตรอเบอร์รี่ของเขาอยู่ในโหลแก้วขนาดใหญ่ หรือไม่ก็จะใส่ในโหลทรงสูงซึ่งบางร้านอาจจะมีเป็นน้ำลิ้นจี่ น้ำกีวี น้ำส้ม น้ำมะนาว

ผู้อ่านลองสังเกตในรูปที่ 1 สิครับว่า ในร้านนี้จะมีทั้งน้ำมะนาว น้ำส้มน้ำลิ้นจี่ น้ำกีวี น้ำสตรอเบอร์รี่ซึ่งน้ำในโหลที่ผู้อ่านเห็นในรูปคือการใช้น้ำหวานสควอชรสต่างๆ มาผสมแล้วจึงเติมเนื้อผลไม้ลงไปตามกลิ่นนั้นๆ วิธีการขายก็ไม่ยากเย็นอะไรเพียงแต่ผู้อ่าน เตรียมน้ำแข็งบดขนาดแก้ว 16 ออนซ์ ใส่ลงไปในเครื่องปั่นต่อจากนั้นก็ตักน้ำผลไม้พร้อมเนื้อลงไปประมาณ 3-4 ออนซ์ซึ่งก็เท่ากับทัพพีพลาสติคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 1/2-3 นิ้ว



ทัพพีขนาดนี้ เมื่อตักน้ำพร้อมเนื้อขึ้นมาแล้วก็จะได้ปริมาณของน้ำเชื่อมที่ติดขึ้นมาประมาณ 2-3 ออนซ์ เลยครับส่วนผลไม้ในแก้วพลาสติคนั้นก็คือ การขายโดยการปั่นน้ำผลไม้ธรรมดาโดยที่ไม่ต้องตักน้ำในโหลใส่ แต่กรรมวิธีการผลิตมีดังนี้

ส่วนผสม

เนื้อผลไม้ 1 แก้ว

น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว 16 ออนซ์

น้ำเชื่อมเข้มข้น 3 ออนซ์

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกัน เพียงแค่นี้ก็จะได้น้ำผลไม้ปั่นแสนอร่อยแล้วครับ

หมายเหตุ

ดังจะเห็นในรูปว่า ผู้อ่านสามารถทำเครื่องดื่มได้ 2 ชนิด ในร้านเดียวกันแต่ในสูตรต่อไปผู้เขียนจะขอเพิ่มกรรมวิธีการเพิ่มมูลค่าของสตรอเบอร์รี่แช่อิ่มซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ ดังในรูปที่ 2 และ 3

เมื่อได้เนื้อสตรอเบอร์รี่แช่อิ่มมาแล้ว นำมาใส่กะละมังให้เนื้อสตรอเบอร์รี่ละลายจนแยกตัวจากการเกาะของน้ำแข็งจนเป็นอิสระต่อจากนั้นนำไส้ขนมปังรสสตรอเบอร์รี่ หรือที่เรียกว่า สตรอเบอร์รี่ฟิลลิ่งเทลงไป 1 ถุง ขนาด 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อสตรอเบอร์รี่ 1 กิโลกรัมหรือจะใช้เป็นสตรอเบอร์รี่ 2 กิโลกรัม ต่อฟิลลิ่ง 1 ถุง ก็ได้จากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอย่างเบามืออย่าให้เนื้อสตรอเบอร์รี่เละ

ขั้นตอนต่อมาจึงเทน้ำเชื่อมเข้มข้นลงไปให้ได้ปริมาณตามต้องการ อย่าให้ใสไปหรือข้นไป กะให้พอดีหรือจะไม่ใช้น้ำเชื่อมก็ได้แต่ปริมาณที่ได้จะน้อยและจะไม่คุ้มกับการลงทุนครับ

หมายเหตุ

ให้ผู้อ่านสังเกตทัพพีพลาสติคในอ่างนะครับ นี่แหละครับผู้อ่านสามารถใช้ตักเนื้อพร้อมน้ำสตรอเบอร์รี่ลงไปปั่นได้เลยครับเพราะทัพพีขนาดนี้จะสามารถตวงได้ 3 1/2 ออนซ์ ซึ่งพอเหมาะสำหรับการปั่นต่อ1 แก้ว ครับ

หากท่านผู้อ่านต้องการปั่นครั้งละมากๆ แบบครั้งละ70-80 แก้ว โดยบรรจุในถังไอศกรีม ซึ่งต้องใช้ถังปั่นแบบเกล็ดหิมะตามรูปที่ 4 มีวิธีทำดังนี้

ส่วนผสม

น้ำแข็งยูนิค 10-11 กิโลกรัม

น้ำเชื่อมเข้มข้น 2,700 ซีซี

เกลือ 30 กรัม

กรดมะนาว 30 กรัม

เนื้อสตรอเบอร์รี่แช่แข็ง 1/2 กิโลกรัม

วิธีทำ

1. ใส่น้ำแข็งลงไป

2. ใส่เนื้อสตรอเบอร์รี่ลงไป

3. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป

4. ปั่นให้ละเอียด

5. ต่อจากนั้นนำไปบรรจุในถังไอศกรีมตามรูป



หมายเหตุ

น้ำเชื่อมเข้มข้นของการปั่นแบบเกล็ดหิมะ ไม่เหมือนน้ำเชื่อมเข้มข้นที่ใช้ปั่นแบบน้ำผลไม้ปั่น ซึ่งมีวิธีทำดังนี้

ส่วนผสม

น้ำตาลทราย 25 กิโลกรัม

น้ำสะอาด 10 ลิตร

(ผ่านเครื่องกรองพักน้ำทิ้งไว้ 2 คืน)

วิธีทำ

1. ตั้งน้ำให้เดือด

2. เติมน้ำตาลลงไป

3. ต้มให้เดือดจนอิ่มตัว ปล่อยให้เย็น จึงนำมาใช้ได้

เกร็ดความรู้

ผู้อ่านสามารถดัดแปลงการใส่วัตถุดิบได้ตามใจชอบครับโดยวิธีการตรวจวัดด้วยสายตาถึงความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ที่ปั่นขึ้นมาและข้อสำคัญที่สุดเลยคือสตรอเบอร์รี่ที่จะนำมาปั่นต้องเป็นสตรอเบอร์รี่เชื่อมธรรมดาไม่ต้องมีส่วนผสมของฟิลลิ่งนะครับ

ผู้อ่านต้องดู อย่าให้สับสนแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าจะใช้สตรอเบอร์รี่ที่มีส่วนผสมของฟิลลิ่งนำมาปั่นก็ได้ครับแต่มันจะสิ้นเปลืองนิดหน่อย ส่วนถ้าจะทำเป็นสตรอเบอร์รี่สมูธตี้ให้ผู้อ่านใช้โยเกิร์ต กลิ่นธรรมชาติแบบชนิดที่มีขายตามห้างแม็คโครชนิดบรรจุเป็นปี๊บเพราะจะมีราคาถูกว่าชนิดที่มีขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป

ส่วนสตรอเบอร์รี่ปั่นที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไปมีอีกสัก 3-4 อย่าง เช่นโยเกิร์ตสมูธตี้ นมเปรี้ยวสมูธตี้ และไอศกรีมสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ต

ในสูตรต่อไปนี้คือ โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ปั่นพร้อมเนื้อสตรอเบอร์รี่สดตามความจริงแล้วถ้าเราจะใช้โยเกิร์ตกลิ่นสตรอเบอร์รี่อย่างเดียวปั่นก็สามารถที่จะทำได้เหมือนกัน แต่ความอร่อยจะน้อยลงไปสู้มีสตรอเบอร์รี่สดมาร่วมปั่นด้วยไม่ได้ วิธีการปั่นมีดังนี้

ข้อชวนคิด

อยากให้ผู้อ่านสังเกตดูการใช้โยเกิร์ตนะครับว่าในการปั่นแต่ละสูตรของน้ำปั่นสตรอเบอร์รี่มีมากมายหลายสูตรดังเช่นสูตรที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นคือใช้โยเกิร์ตทั้งกระปุกเลย แต่บางสูตรใช้แค่ 4-5 ช้อนชาเท่านั้นแต่เป็นการใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติสีขาวของดัชมิลล์ ดูรูปที่ 13วิธีการทำมีดังนี้

ส่วนผสม

เนื้อสตรอเบอร์รี่ 4-5 ลูก

น้ำแข็งขนาดแก้ว 16 ออนซ์

น้ำเชื่อมเข้มข้น 3 ออนซ์

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 4-5 ช้อนชา

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกันให้ละเอียด พร้อมใส่แก้วเตรียมเสิร์ฟ

นอกจากโยเกิร์ตรสธรรมชาติแล้วเรายังสามารถที่จะใช้เป็นนมเปรี้ยวกลิ่นสตรอเบอร์รี่หรือกลิ่นต่างๆที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป นำมาปั่นก็ได้ ดังตัวอย่าง

1. นมเปรี้ยวกลิ่นสตรอเบอร์รี่

ขนาด 120 ซีซี 1 ขวด

2. น้ำแข็งแก้ว

ขนาด 16 ออนซ์ 1 แก้ว

3. น้ำเชื่อมเข้มข้น 2 1/2-3 ออนซ์

4. เนื้อสตรอเบอร์รี่ 2-3 ลูก

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกัน พร้อมเสิร์ฟ

ในปักษ์นี้จะมีการใช้รูปประกอบมากหน่อยเพราะต้องการสื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นวัสดุ อุปกรณ์ และกรรมวิธีในการผลิตโดยเฉพาะเรื่องของวิธีการปั่นและการผสมสตรอเบอร์รี่ให้อร่อยเป็นที่นิยมแล้วนั้น จะมีอีกหลายสูตร เยอะไปหมด หน้ากระดาษไม่พอเขียน

ดังนั้นผู้เขียนคิดว่า ถ้าใครอยากมีร้านหรืออยากปั่นเครื่องดื่มแบบมืออาชีพให้เรามาพบกันที่ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน จะดีกว่าครับปักษ์นี้ต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมดไว้ปักษ์หน้ามีอะไรคอยติดตามกันดีกว่าครับ



เกิดเป็นคนต้องซื่อสัตย์และมีศักดิ์ศรี

เชษฐา ใจใส

การทำน้ำผลไม้ปั่น สำหรับเปิดร้านขนาดเล็ก

น้ำปั่นผลไม้โถเล็กเพื่อการค้า

ในการปั่นน้ำผลไม้ให้มีรสชาติเข้มข้นและอร่อยนั้น เราจะต้องผสมสิ่งที่เราจะใช้ลงไปให้ได้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่จืด หรือรสจัดจ้านกินแล้วบาดคอจนเกินไป ซึ่งทุกอย่างมีเทคนิคง่ายๆ เราต้องทำให้ไม่ยุ่งยาก ทำให้สะดวก รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนมากที่สุด



การใช้ผลไม้สดในการปั่นน้ำ นอกจากจะมีประโยชน์และได้คุณค่าทางสารอาหารแล้ว ยังทำให้มีกลิ่นของผลไม้นั้นๆ ด้วย แต่ทำอย่างไรล่ะ หากเราจะทำน้ำสตรอเบอร์รี่ปั่นช่วงที่ไม่ใช่ฤดูของผลสตรอเบอร์รี่ หรือทำน้ำกีวีปั่นขณะที่ผลกีวีมีราคาค่อนข้างสูง

ดังนั้น ขอแนะนำน้ำเชื่อมรสและกลิ่นผลไม้ต่างๆ ที่มีขายในร้านขายอุปกรณ์และวัตถุดิบในการผลิตชาไข่มุกทั่วไป หรือจะใช้ของ ควีนส์ โปรดักส์ ซึ่งในน้ำเชื่อมนี้ก็มีส่วนผสมของผลไม้เช่นเดียวกัน หรือเชฟไอซ์ ที่เหมาะกับการผสมกับเครื่องดื่มทั้งที่มีแอลกอฮอล์หรือไม่มีแอลกอฮอล์ก็ได้ ที่มีให้เลือกหลากหลายรสและกลิ่นประมาณ 24 กลิ่น



อุปกรณ์

อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีในร้าน ได้แก่ กระบอกเชค โถปั่นไฟฟ้าที่มีวัตต์สูง เครื่องแยกกาก โหลบรรจุน้ำหวาน ถาดใส่ผลไม้สด ตู้แช่ผลไม้ ถ้วยใส่น้ำปั่นซึ่งนิยมบรรจุในถ้วยพลาสติคมีฝาโดมปิดที่สามารถเสียบหลอดได้ในขนาด 16 ออนซ์ หรือ 12 ออนซ์ หรือแก้วใช้บรรจุหากรับประทานในร้าน ไม้คน และถังน้ำแข็งพลาสติคที่เก็บความเย็นได้ น้ำแข็งที่ใช้ต้องเป็นน้ำแข็งยูนิตก้อนเล็กหรือน้ำแข็งบด แต่น้ำแข็งบดจะมีไส้ซึ่งไม่ค่อยสะอาดนัก อาจจะให้ร้านน้ำแข็งนำน้ำแข็งยูนิตไปบดให้ก็ได้

หลักการปั่นน้ำผลไม้

สิ่งที่เราต้องใช้ประกอบในการปั่นที่สำคัญคือ น้ำแข็ง น้ำเชื่อม น้ำสะอาด ผลไม้ เกลือป่น และกลิ่นน้ำผลไม้รสชาติต่างๆ การเสริมให้น้ำปั่นเราอร่อยขึ้น อาจจะใส่น้ำโยเกิร์ตที่มีรสชาติเปรี้ยวแบบเข้มข้น หรือน้ำผลไม้บางชนิดก็อาจจะใส่นมสดลงไปนิดหน่อยยังได้ น้ำผลไม้ปั่นที่มีโยเกิร์ตผสมเราจะเรียกกันว่า สมูธตี้ (Smoothies)

การปั่นน้ำผลไม้ยังต้องดูขนาดของแก้วที่จะใช้บรรจุด้วย โดยทั่วไปแก้วที่ใช้จะมีขนาด 12 ออนซ์ ซึ่งอาจจะขายในราคา 10-20 บาท และแก้วขนาด 16 ออนซ์ ขายในราคา 15-30 บาท ซึ่งขอยกตัวอย่างการปั่นน้ำผลไม้ไว้เป็นหลักเพื่อให้สามารถกลับไปผลิตได้อย่างไม่ยุ่งยาก

หมายเหตุ โยเกิร์ตที่มีความอร่อย ส่วนมากจะใช้เป็นโยเกิร์ตที่มีขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปนั่นแหละครับ ส่วนโยเกิร์ตที่เป็นชนิดกลิ่นหัวเชื้อน้ำหวานนั้นเหมาะสำหรับที่จะนำไปผสมกับชานมไข่มุกเท่านั้น

การทำน้ำเชื่อม
น้ำเชื่อมชนิดเข้มข้น

ส่วนผสม
น้ำตาลทราย 4 กิโลกรัม
น้ำสะอาด 2 ลิตร

น้ำเชื่อมชนิดใส
ส่วนผสม
น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
น้ำสะอาด 1 กิโลกรัม
หากต้องการให้ผลิตภัณฑ์เป็น frozen (เย็นจัด) แนะนำให้ใช้เป็นน้ำเชื่อมชนิดเข้มข้น

วิธีทำ
1. ตั้งน้ำสะอาดให้เดือด
2. เทน้ำตาลทรายลงไป พอเดือดสักครู่น้ำเชื่อมจะใส
3. การผสมหรือการปั่นต้องรอให้น้ำเชื่อมเย็นสนิท

การทำน้ำมะนาวหวาน
ส่วนผสม
มะนาวยังไม่คั้น 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
น้ำเปล่า 500 ซีซี

วิธีทำ
1. คั้นน้ำมะนาวทั้งหมดเก็บไว้ในเหยือก
2. นำหม้อตั้งไฟ เทน้ำเปล่าก่อน แล้วค่อยเทน้ำตาลลงไป
3. ต้มจนเดือดจนกลายเป็นน้ำเชื่อม พักให้เย็น

วิธีผสมน้ำมะนาวหวาน
1. นำขวดสะอาด 1 ใบ
2. เทน้ำมะนาวลงไปในขวด 40%
3. เทน้ำเชื่อมลงไปในขวด 55%
4. เขย่าให้เข้ากัน
5. จะได้น้ำมะนาวหวาน 1 ขวด
6. ทำขวดต่อไปจนกว่าส่วนผสมจะหมด

ในสูตรนี้สามารถนำมาผสมเป็นเครื่องดื่ม น้ำมะนาวโซดา โดยนำมาผสมกับน้ำแข็งและโซดาเท่านั้น สูตรนี้เป็นของโรงแรมขนาดใหญ่ที่ทำจำหน่ายในค็อฟฟี่ช็อป (coffee shop) ซึ่งน้ำมะนาวหวานจะมีราคาค่อนข้างสูง

น้ำมะนาวหวานสามารถผสมน้ำหวานค็อกเทลได้ทุกรส ยกเว้นรสบลูฮาวาย มะพร้าว กล้วย และเปปเปอร์มินต์ ทั้งสี่รสนี้ควรผสมกับนมกล่องสีขาวหรือผสมชานมไข่มุก

หมายเหตุ น้ำเชื่อมที่ใช้เป็นสูตรเดียวกับน้ำเชื่อมเข้มข้น

ตัวอย่างการผสมน้ำมะนาวหวาน หากเราต้องการน้ำมะนาวหวาน 1 ลิตร ก็ให้หาขวดสะอาดที่บรรจุได้ 1 ลิตร เทน้ำมะนาวลงไป 400 ซีซี ตามด้วยน้ำเชื่อม 550 ซีซี แล้วเขย่าให้เข้ากัน หากเราต้องการน้ำมะนาวหวานเพียง 1/2 ลิตร ก็ให้หาขวดสะอาดที่บรรจุได้ 1/2 ลิตร เทน้ำมะนาวลงไป 200 ซีซี ตามด้วยน้ำเชื่อม 275 ซีซี แล้วเขย่าให้เข้ากัน เพียงแค่นี้เราก็จะได้น้ำมะนาวหวานขนาด 1/2 ลิตรทันทีครับ

อนึ่ง ถ้าต้องการให้น้ำมะนาวในขวดดูใสขึ้น ให้เหยาะไข่ขาวลงไป 2-3 หยด การเก็บรักษา น้ำมะนาวหวานให้เก็บรักษาในตู้เย็นจะสามารถอยู่ได้หลายสัปดาห์ แต่ถ้าไม่เก็บในตู้เย็นจะใช้ได้ 3-5 วันเท่านั้น (และที่สำคัญขึ้นอยู่กับความสะอาดของผู้ผลิตด้วยนะครับ) และมะนาวที่จะนำมาใช้ควรเป็นมะนาวสดจะดีกว่ามะนาวเทียม เพราะจะมีความหอมอร่อยกว่า

การปั่นน้ำผลไม้กรณีใช้น้ำเชื่อมชนิดเข้มข้น
ขนาดแก้ว 12 ออนซ์
น้ำโยเกิร์ต-สตรอเบอร์รี่ปั่น

สูตร
น้ำเชื่อมเข้มข้น 1/2 ออนซ์
น้ำโยเกิร์ต 1/2 ออนซ์
(ถ้าใช้โยเกิร์ตชนิดน้ำจะมีรสชาติคล้ายยาคูลท์ น้ำโยเกิร์ตเป็นคนละชนิดกับโยเกิร์ตที่ขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้านะครับ)
น้ำเชื่อมสตรอเบอร์รี่ 1/2 ออนซ์
น้ำมะนาวหวาน 1/2 ออนซ์
(ใส่หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากบางท่านอาจจะไม่ชอบให้มีกลิ่นมะนาวผสม หากไม่ใส่ให้เพิ่มน้ำเชื่อมสตรอเบอร์รี่ลงไป 1/2 ออนซ์)
น้ำสะอาด 1-3 ออนซ์
ผลสตรอเบอร์รี่ 2 ลูก (ใส่หรือไม่ก็ได้)
น้ำแข็งยูนิตก้อนเล็ก (ขนาดแก้ว 12 ออนซ์) 1 แก้ว
เกลือป่น
นมสด

วิธีการปั่น
1. ตวงน้ำแข็งให้เต็มแก้ว 12 ออนซ์ เพิ่มอีกนิดหน่อย เพราะเมื่อปั่นแล้วน้ำแข็งจะ soft ตัวลง ใส่ลงในโถปั่น
2. ใส่น้ำเชื่อมเข้มข้น น้ำโยเกิร์ต น้ำเชื่อมสตรอเบอร์รี่ น้ำมะนาวหวาน น้ำสะอาด และผลสตรอเบอร์รี่ล้างแล้วผ่า ใส่ลงในโถปั่น
3. เหยาะเกลือป่นนิดหน่อยเพื่อตัดความเลี่ยน ตามด้วยโรยนมสดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอมมัน
4. ทำการปั่นได้
5. จะได้น้ำโยเกิร์ต-สตรอเบอร์รี่ ปั่น ที่มีรสชาติหอม หวาน เปรี้ยว มัน อร่อยมาก
6. อาจจะใส่ฟรุ้ตสลัด วุ้นสีต่างๆ เยลลี่ หรือไข่มุกก็ได้ ตามแต่ลูกค้าจะเรียกร้อง

ฟรุ้ตสลัด วุ้นสีต่างๆ หรือเยลลี่ มีขายสำเร็จรูปตามร้านเบเกอรี่หรือร้านขายอุปกรณ์ชาไข่มุก ซึ่งท่านสามารถหาซื้อได้ไม่ยุ่งยากนัก เพราะมีแบ่งขายด้วย ส่วนไข่มุกต้องต้มเอง

ขนาดแก้ว 16 ออนซ์

น้ำบลูเลม่อน
สูตร
น้ำเชื่อมเข้มข้น 1 ออนซ์
น้ำเชื่อมบลูเลม่อน 1 ออนซ์
น้ำมะนาวหวาน 1 ออนซ์
น้ำสะอาด 1-3 ออนซ์
น้ำแข็งยูนิตก้อนเล็ก (ขนาดแก้ว 16 ออนซ์) 1 แก้ว
เกลือป่น

วิธีการปั่น
1. ตวงน้ำแข็งให้เต็มแก้ว 16 ออนซ์ เพิ่มอีกนิดหน่อย เพราะเมื่อปั่นแล้วน้ำแข็งจะ soft ตัวลง ใส่ลงในโถปั่น
2. ใส่น้ำเชื่อมเข้มข้น น้ำเชื่อมบลูเลม่อน น้ำมะนาวหวาน น้ำสะอาด ใส่ลงในโถปั่น
3. เหยาะเกลือป่นนิดหน่อยเพื่อตัดความเลี่ยน
4. ทำการปั่นได้
5. จะได้น้ำบลูเลม่อนปั่น ที่มีรสชาติหอม หวาน เปรี้ยว อร่อยมาก
6. อาจจะใส่ฟรุ้ตสลัด วุ้นสีต่างๆ เยลลี่ หรือไข่มุกก็ได้ ตามแต่ลูกค้าจะเรียกร้อง

กาแฟปั่น
น้ำแข็งขนาดแก้ว 16 ออนซ์
กาแฟสำเร็จ 2-3 ช้อนชา
ครีมเทียม 2 ช้อนชา
หรือนมสด 4 ออนซ์
น้ำเชื่อม 2 1/2-3 ออนซ์
ไมโลปั่น
น้ำแข็งขนาดแก้ว 16 ออนซ์
ไมโลสำเร็จ 2-3 ช้อนชา
ครีมเทียม 2 ช้อนชา
หรือนมสด 4 ออนซ์
น้ำเชื่อม 2 1/2-3 ออนซ์
ช็อกโกแลตปั่น
น้ำแข็งขนาดแก้ว 16 ออนซ์
ผงช็อกโกแลตสำเร็จ 1 ช้อนชา
ครีมเทียม 2 ช้อนชา
หรือนมสด 4 ออนซ์
น้ำเชื่อม 2 1/2-3 ออนซ์

การปั่นน้ำผลไม้กรณีใช้น้ำเชื่อมชนิดใส

ขนาดแก้ว 16 ออนซ์

วิธีการปั่น
ใช้หลักการเดียวกันของทุกสูตร คือใส่น้ำแข็งบดหรือน้ำแข็งยูนิตก้อนเล็กเต็มแก้ว ต้องเพิ่มอีกเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อปั่นแล้ว น้ำแข็งอาจจะยุบตัวลง ที่เหลือก็ใส่ไปตามสูตรต่างๆ

น้ำลิ้นจี่ปั่น
น้ำหัวเชื้อควีนส์ 3 ออนซ์
น้ำเชื่อม 1 ออนซ์
น้ำมะนาวหวาน 1/2 ออนซ์

น้ำลิ้นจี่-โยเกิร์ตปั่น
น้ำหัวเชื้อควีนส์ 3 ออนซ์
น้ำเชื่อม 1 ออนซ์
น้ำมะนาวหวาน 1/2 ออนซ์
โยเกิร์ตสด 4 ช้อนชา

น้ำกีวีปั่น
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
กีวี 1/2 ลูก

น้ำกีวี-โยเกิร์ตปั่น
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
กีวี 1/2 ลูก
โยเกิร์ตสด 4 ช้อนชา

น้ำแตงโมปั่น
น้ำเชื่อม 3 1/2 ออนซ์
น้ำกลิ่นแตงโม 1 ออนซ์
แตงโม 1 ชิ้นใหญ่
สามารถใส่นมสดได้ 1 ออนซ์
น้ำแคนตาลูปปั่น
น้ำเชื่อม 3 1/2 ออนซ์
น้ำกลิ่นแคนตาลูป 1 ออนซ์
แคนตาลูป 1 ชิ้นใหญ่

น้ำแอปเปิ้ลปั่น
แอปเปิ้ลแดงหรือเขียว 1/2 ลูก
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
น้ำแคร์รอตปั่น
แคร์รอต 1/2 ลูก
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
สามารถใส่สับปะรดหรือส้มได้
ใส่นมสดก็ได้ 1 ออนซ์

น้ำกล้วยปั่น
กล้วยหอม 1 ลูก
น้ำเชื่อม 3 1/2 ออนซ์
หรือนมสด 1 ออนซ์
น้ำมะพร้าวปั่น
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
เนื้อและน้ำมะพร้าว 1/2 ลูก

น้ำสับปะรดปั่น
สับปะรด 1 ชิ้น
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
หรือนมสด 1 ออนซ์
น้ำสับปะรด-โยเกิร์ตปั่น
สับปะรด 1 ชิ้น
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
หรือนมสด 1 ออนซ์
โยเกิร์ตสด 4 ช้อนชา

น้ำส้มปั่น
สูตรพิเศษ ผู้อ่านสามารถเพิ่มกล้วยหอมลงไปปั่นพร้อมกับส้ม ก็จะเป็นสูตรที่อร่อยอีกสูตรเช่นกันครับ
ส้ม 4-5 ลูก
(ส้มที่จะนำมาใช้ต้องเป็นส้มเบอร์เล็กสุดขนาดลูกมะนาวเลยทีเดียว)
น้ำเชื่อม 3 1/2-4 ออนซ์
เกลือป่นนิดหน่อย

หมายเหตุ ถ้าปั่นออกมาแล้ว สีไม่สวยสามารถเพิ่มแคร์รอตลงไป 4-5 แว่น สีน้ำส้มที่ได้จะสวยเหมือนจริง

อนึ่ง ถ้าส้มขาดความเปรี้ยว สามารถเหยาะกรดมะนาวลงไปช่วยได้นิดหน่อยนะครับ ห้ามเหยาะมากเดี๋ยวจะเปรี้ยวไป

ไมโลปั่น
ไมโล 3-4 ช้อนชา
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
นมสด 3-4 ออนซ์
โกโก้ปั่น
โกโก้ 2 ช้อนชา
น้ำเชื่อม 4 1/2 ช้อนชา
นมสด 4 ออนซ์
กาแฟปั่น
กาแฟ 2 ช้อนชา
น้ำเชื่อม 4 1/2 ออนซ์
นมสด 3-4 ออนซ์

สมูธตี้ (Smoothies) ในสนามบินทั่วไป

ผู้เขียนขอมอบสูตรพิเศษที่มีขายในสนามบินดอนเมือง ซึ่งเห็นว่าน่าสนใจทีเดียว ก็เลยหยิบฉวยเอาไว้ให้ทุกท่าน

พิงค์บานาน่า
กล้วย + สตรอเบอร์รี่ + โยเกิร์ต

พิงค์กี้พาย
สับปะรด + สตรอเบอร์รี่ + โยเกิร์ต

พิงค์เลม่อน
เมล่อน (แคนตาลูป) + สตรอเบอร์รี่ + โยเกิร์ต

เรตสวีท
กล้วย + แตงโม + สตรอเบอร์รี่ + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง

สวีทซันเซต
แตงโม + สับปะรด + โยเกิร์ต

วอเตอร์แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล + แตงโม + มะนาว + โยเกิร์ต

การเปิดร้านขายน้ำผลไม้ปั่นนับเป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะลงทุนไม่มาก ใช้พื้นที่น้อย ขอให้มีทำเลการค้าที่เหมาะสม อีกทั้งยังมีกำไรงามอีกด้วย นอกเหนือจากที่เราจะขายเฉพาะน้ำผลไม้ปั่นอย่างเดียวแล้ว เราอาจจะเสริมด้วยเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ซึ่งจะเป็นทั้งแบบปั่นหรือไม่ปั่นก็ได้

ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอมอบสูตรน้ำผลไม้ปั่นและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ถึงแม้ผู้อ่านจะไม่ได้นำไปทำการค้า แต่สามารถทำเองได้เพื่อใช้ในงานเลี้ยงหรืองานรื่นเริงต่างๆ

น้ำผลไม้ปั่นที่ใช้หัวเชื้อน้ำหวานเชฟไอซ์

ส่วนผสม
1. น้ำหวานรสชาติต่างๆ
ตามชอบ 1/2 ออนซ์
2. น้ำเชื่อม 1/2 ออนซ์
3. น้ำมะนาวหวาน 3/4 ออนซ์
4. เนื้อผลไม้ตามชอบ 3-4 ชิ้น
5. น้ำเปล่า 1 ออนซ์
6. เกลือ 2 เหยาะ
7. น้ำแข็ง 3/4 แก้ว (12 ออนซ์)

วิธีทำ
1. ใส่น้ำแข็งบด 3/4 ถ้วยลงในโถปั่น
2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไป
3. ปั่นให้เข้ากัน
4. รินใส่แก้ว
5. เสิร์ฟพร้อมหลอดดูด

การผสมเครื่องดื่มค็อกเทล

1. สกูรไดรฟเวอร์
ส่วนผสม
เหล้าวอดก้า 1 ออนซ์
น้ำส้ม 2 ออนซ์
น้ำหวานพิ้งค์เลมอนเนท 1/2 ออนซ์
น้ำแข็ง 3/4 แก้ว (14 ออนซ์)

วิธีผสม
1. ใส่น้ำแข็งก้อนลงในกระบอกเชค
2. ใส่ส่วนผสม

สมูทตี้

ม่วงหรรษาสมูทตี้
สูตรนี้ใช้เวลาทำเพียง 5 นาทีเท่านั้นก็สามารถเสิร์ฟได้ทันที โดยใช้ผลไม้กระป๋องเพื่อความสะดวก

ส่วนผสม
สับปะรดกระป๋อง (ไม่ต้องเทน้ำออก) 1 กระป๋อง (20 ออนซ์)
บลูเบอรี่กระป๋อง (สะเด็ดน้ำ) 1 กระป๋อง (16.5 ออนซ์)
น้ำแข็งก้อน 1 1/2 ถ้วย
โยเกิร์ตไขมันต่ำ รสผลไม้ 1 ถ้วย

วิธีทำ
• ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้
• ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แก้ว ประดับแก้วด้วยสับปะรดฝานบาง
• เสิร์ฟได้ทันที หรือ ใส่แก้วปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็นจนกระทั่งพร้อมเสิร์ฟ
• จัดเสิร์ฟได้ 4 - 6 แก้ว

กล้วย แอปเปิ้ล สมูทตี้

ส่วนผสม
กล้วยหอมแช่แข็ง (ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นเล็ก) 1 ผล
น้ำส้ม 1/2 ถ้วย
แอปเปิ้ล (ปอกเปลือก, แกะเมล็ด หั่นชิ้นเล็ก) 1 ผล
นมสด 1/4 ถ้วย

วิธีทำ
• นำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องปั่นน้ำผลไม้
• ปั่นให้ละเอียดจนเนียนเป็นเอเดียวกัน รินใส่แก้ว พร้อมเสิร์ฟ

สูตรนี้จัดเสิร์ฟได้ 2 แก้ว

บานาน่าสมูทตี้

ส่วนผสม

นมสด 1/2 ถ้วย
กล้วยหอม 1 ผล
โยเกิร์ตรสผลไม้ หรือรสธรรมชาติก็ได้ 1/4 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
ไอศกรีมวานิลา 1-2 สคูป

วิธีทำ
• นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้
• ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
• เทใส่แก้วใบสวย (แช่เย็น) จากนั้นเสิร์ฟได้เลยค่ะ

สตรอเบอรี่สมูทตี้

ส่วนผสม

สตรอเบอรี่ (แช่แข็ง) 2 ถ้วย
นมสด 1 ถ้วย
โยเกิร์ตรสสตรอเบอรี่ 2/3 ถ้วย

วิธีทำ
• ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น
• ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
• เทใส่แก้ว เสิร์ฟได้ 4 แก้ว

สามสหายพาเหรด (สับปะรด สตรอเบอรี่ กล้วยหอม)

ส่วนผสม
สัปปะรดแช่เย็น 2 ถ้วย
สตรอเบอรี่สด 1 ถ้วย
กล้วยหอม (ห่ามๆ) 2/3 ถ้วย

วิธีทำ
• ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น
• ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
• เทใส่แก้ว จัดเสิร์ฟ

บานาน่า สัปปะรด โคลาดา (เสิร์ฟได้ 2 แก้ว)

ส่วนผสม

กล้วยหอม (ปอกเปลือก) 1/2 ลูก
สัปปะรด (หั่นชิ้นพอควร 1/2 ถ้วย
น้ำสัปปะรด 1/2 ถ้วย
น้ำแข็งก้อน 1/2 ถ้วย
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำกะทิ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำ
• ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น
• ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
• เทใส่แก้ว ประดับแก้วด้วยสับปะรดฝาน เสิร์ฟได้

มะม่วงสมูทตี้

ส่วนผสม
มะม่วงสุก (ปอกเปลือก) 2-3 ผล
น้ำส้มคั้น (แช่แข็ง) 1/4 ถ้วย
นมสด 1 ถ้วย
น้ำแข็งก้อน 8 ก้อน

วิธีทำ
• ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น
• ปั่นจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
• เทใส่แก้วใบเท่ จัดเสิร์ฟ

ที่มา www.thaiweddingmall.com

เทคโนโลยี

ดาวน์โหลดโปรแกรมมาใหม่ล่าสุด |

อัพโหลดไฟล์

วาไรตี้

ข่าวประจำวัน

Movie

สารบัญเว็บไทย

Thailand Map